วันอาทิตย์, กันยายน 16, 2550

ใบไม้สีดำ..

ใบไม้สีดำ..ใบไม้สีดำ..ใบไม้สีดำ...

ดำมะเมื่อมประดุจนิลกาฬ ดุจโดนพิษร้ายล้างผลาญ จนร้างไร้สีเขียวอันเป็นศักดิ์ศรีแห่งใบไม้

ใบไม้อันร่วงหล่นลง ไร้ซึ่งผู้ใดจะแยแส ไร้ซึ่งผู้เห็นคุณค่า กับใบไม้ที่เป็นเถ้าถ่านสีดำนี้

ดำดุจย้อมถูกด้วยหมึก ดำดุจถูกเผาไหม้จนเกรียม ดำอย่างมิมีสีใดเจือปน
ดำจนเลือนหายไป ดำจน.... มิอาจคงอยู่ได้. โดยไร้ซึ่งทุกข์อันท่วมท้นในใจ....

สีดำนั้นเอย..สีแห่งอันธการ สีศักดิ์สิทธิ์อันกลืนกินโลกหล้า สีอันสำคัญยิ่ง ด้วยสร้างสรรค์ให้โลกมีมิติ สี..อันเป็นพื้นฐาน อันเป็นที่รวมของทุกสีในโลกใบนี้

สีอันแม้ผิดแปลกแตกต่าง แต่คงความเป็นตัวตนไว้สูงยิ่งนัก สีอันไม่อาจมีสีใดอาจลบล้าง สีอันไม่มีสีใดอื่นจะแอบแฝง
ลึกล้ำ ดำหม่น หากแต่...งดงามยิ่งนัก...

ใบไม้สีดำ.. ใบไม้สีดำเอย...

ร้างหายในความทรงจำแห่งหมู่ชน มิมีใครทอดเห็นแม้เงา...

แม้เมื่อมีชีวิตเป็นสีดำ แต่ก็จักสู้ไป ด้วยเราเป็นเช่นนั้น..
มิได้แบกรับสิ่งที่เป็น แต่เพราะเป็นสิ่งนั้น.. เราจึงเป็นเรานี้...

..เป็นใบไม้สีดำ...

ดำอันโดดเดี่ยว.. ดำอันแตกต่าง..

โดดเดี่ยวจนด้านชา แตกต่างจนมิมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้...

แต่แม้เป็นเช่นไรก็ตาม เราจักทำ ในสิ่งอันเราต้องทำ สิ่งอันเป็นหน้าที่ ด้วยสิ่งนี้ จึงเป็นเราขึ้นมา..

ด้วยหน้าที่..จึงมีอำนาจ..
ด้วยอำนาจ..จึงมาพร้อมภาระบนบ่า
ด้วยภาระ..จึงลิขิตหนทาง..
ด้วยหนทาง..จึงก้าวเดิน
ด้วยก้าวเดิน..จึงพบอุปสรรค
ด้วยอุปสรรค..จึงได้มีชีวิตเป็นเช่นนี้..

ราชันแห่งอันธกาลเอย...


http://www.forwriter.com/mysite/forwriter.com/forwriterroom/freewriting.htm
1 - ใบไม้สีดำ - 29 มีนาคม 2550 11:30-11:40

วันจันทร์, มิถุนายน 25, 2550

ณ อนธกาล - หนึ่ง

...ฟิ้ว....
เสียงวัตถุตกลงจากที่สูง สู่ลานเบื้องล่างอันคลาคล่ำด้วยผู้คน ภายใต้ความเป็นไปอย่างปรกติธรรมดาในโลกเช่นนี้ มิมีใครได้ให้ความสนใจกับเด็กสาวซึ่งวิ่งหน้าตาตื่นลงมาตามบันใดเลื่อนเป็นพิเศษแต่อย่างใด

แต่ใครจะไปรู้เล่า... ว่าโลกอาจเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ หลายสิ่งจะบังเกิดและหลายสิ่งจะดับสูญไป ด้วยสิ่งเล็กๆเพียงสิ่งเดียว..

..เด็กสาวผู้อาจเปลี่ยนโลก.. และรองเท้าข้างเดียว....


โลกหมุนไปตามกลไก ฟันเฟืองขบคาบเกี่ยวพัน สอดคล้องจนประกอบเป็นระบบใหญ่ ทุกการเคลื่อนของหนึ่งฟันเฟือง ย่อมหมุนเคลื่อนฟันเฟืองอื่นไปพร้อมกัน
หายนะหรือสุขสงบ จะมีอยู่หรือตายลง ..ล้วนแต่ถูกกำหนดไว้ใต้การขับเคลื่อนของฟันเฟือง.. ฟันเฟืองแห่งโลกอันสลับซับซ้อนใบนี้ ที่มิได้ตายตัวแม้แต่เสี้ยววินาที
ใครเล่าจะรู้ได้.. ว่าเฟืองเล็กๆที่หมุนไปในวันนี้ จะผลักดันฟันเฟืองใดในโลกให้เคลื่อนไป... สิ่งใดจักบังเกิด สิ่งใดจักมลายสูญ จักพลักดันฤๅเป็นองค์ประกอบของเหตุใด
..ดังผีเสื้อกรีดปีกโบยบิน อาจอำนาจก่อพายุโหมกระหน่ำ.. ..ดั่งเด็กน้อยเด็ดดอกไม้ หากส่งผลสะเทือนถึงดวงดารา..
..เราจักล่วงรู้ได้เช่นไร..

(** 'การสะบัดปีกของผีเสื้อ ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศจนส่งผลต่อการเกิดพายุหมุน' (Butterfly effect) และ 'เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว' คือข้อความเปรียบเทียบถึง ทฤษฏีความอลวน(chaos theory) ในทางฟิสิกส์ ที่ว่าสิ่งเล็กๆ อาจกระทบถึงสิ่งอันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง [รายละเอียด: http://en.wikipedia.org/wiki/Butterfly_effect และ http://th.wikipedia.org/wiki/ทฤษฎีความอลวน] **)


ชายคนหนึ่งเงยหน้าขึ้น เพื่อมองหาที่มาของเสียงนั้นเช่นเดียวกับหลายคน แต่โดยมิทันได้ตั้งตัว รองเท้าข้างหนึ่งก็ตกกระทบเข้าอย่างจัง ส้นหนาและแข็งกระแทกกับใบหน้าโดยแรงแทบซวนเซ

รองเท้าข้างนั้นตกลงบนพื้นกระเบื้องดังเปรื่อง พร้อมกับเด็กสาวคนหนึ่งที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามากลางลาน

"ขอโทษนะคะ.. เป็นอะไรรึเปล่าคะ?" เธอหยุดลงตรงหน้าเขา หอบเหนื่อย ละล่ำละลักถามด้วยน้ำเสียงขาดเป็นห้วง

"ไม่เป็นไรครับ" เขาพูดพลางก้มลงเก็บรองเท้าข้างนั้นส่งให้ เธอรับคืนไป จ้องเขานิ่งอยู่ครู่ใหญ่

"ไม่เป็นอะไรจริงๆนะคะ?"

"ครับ" เขารับอย่างหนักแน่น

"แต่จากความสูงระดับนี้...." ปลายเสียงทิ้งยาว เงยหน้าขึ้นกะความสูงเบื้องบน "..คูณกับน้ำหนักของรองเท้า.. ถ้าโชคร้ายหน่อย อาจกระเทือนถึงสมองได้...."

"ผมไม่เป็นไรหรอกครับ อย่างมากก็แค่มึนๆ พักสักหน่อยก็หาย" เขารีบตัดบทเสียก่อน

"แน่ใจนะคะ?" เธอหันกลับมามองเขาอย่างเพ่งเล็งอยู่กลายๆ

"ครับ" เขารับอย่างหนักแน่นย้ำอีกครั้งหนึ่ง

"ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ แล้วก็..เอ่อ..." เธอหยุดไปครู่หนึ่ง "..จะจดเบอร์ไปสักหน่อยไหมคะ? เผื่อมีผลข้างเคียงอะไรตามมาทีหลัง"

"ไม่เป็นไรครับ" เขาปฏิเสธพลางเหลือบมองกองกระดาษในห่อสีน้ำตาลข้างตัว ก่อนจะก้มลงหยิบขึ้นมาชุดหนึ่ง ยื่นให้เด็กสาวเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มคล้ายพนักงานขาย
"ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ช่วงรับโบรชัวร์ที่ผมกำลังแจกอยู่ไปด้วยแล้วกันนะครับ"

เธอรับกระดาษชุดนั้นไป แล้วคว้าปากกาที่ติดตัวอยู่เสมอออกมาเขียนตัวเลขลงบนขอบที่ว่าง ฉีกออกให้ชายตรงหน้า พร้อมรอยยิ้มบางๆอันติดเป็นนิสัย
"เก็บไปสักหน่อยแล้วกันนะคะ ถ้าสองสามวันแล้วไม่มีอะไรค่อยโยนทิ้งก็ได้ค่ะ"

เขารับมาอย่างไม่กล้าปฏิเสธ เบอร์โทรศัพท์และชื่อบนกระดาษแผ่นเล็กนั้นเขียนด้วยลายมือที่หวัดและมีขนาดเล็ก แต่ก็ยังอ่านได้ชัดเจน

' รัตติ ' อันมีความหมายคือ 'กลางคืน'
.......


การรอคอย... หลายๆคนบอกว่าเป็นการทดสอบตัวเอง แต่เราเชื่อว่า คงไม่มีใครที่มีความอดทนอย่างไร้ขีดจำกัด
สังคมรอบด้านทุกวันนี้ สิ่งต่างๆวิ่งไปเร็วยิ่งกว่าสายลม เร็ว..จนมีวันที่เหนื่อยเกินจะวิ่งตาม เร็ว..จนบั่นทอนความอดทนของคนลงไปทุกที..

ไนท์หยิบโบรชัวร์ในมือมาพลิกอ่านฆ่าเวลา
' อืม.. มีแจกเอกสารประชาสัมพันธ์สถาบันการศึกษาเป็นชุดๆอย่างนี้ในห้างด้วย... '

................
.....................................


"แม่คะ เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับวิทยาการทางจิตไหมคะ?"

"ไม่เคยเลย มีอะไรเหรอไนท์?"

"เมื่อกี้หนูได้โบรชัวร์มาน่ะค่ะ เป็นสถาบันการศึกษาที่เน้นสายวิทยาการทางจิตโดยเฉพาะ หนูรู้สึกไม่คุ้นชื่อเลยลองถามดู เผื่อแม่รู้จัก"

"ไหนดูหน่อยซิ"

กระดาษชุดนั้นถูกส่งผ่านมือไป..

"สุริเยนทร์ฑล ชื่อไม่คุ้นเลย.. เพิ่งเปิดพร้อมกับหลักสูตรวิทยาการทางจิตเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง ลูกสนใจเหรอ?"

"ก็เห็นชื่อ'วิทยาการทางจิต'น่าสนใจดีน่ะค่ะ"

"อืม.. เท่าที่แม่ดูคร่าวๆ ที่นี่ก็ใช้ได้นะ ถ้าหนูสนใจ เดี๋ยวหาเวลาว่างชวนพ่อไปดูสถานที่ด้วยกันก็ได้"

"ค่ะ"

................
.....................................

ใต้ร่มไม้ใหญ่ครึ้มหลังประตูบานใหญ่ มีเรือนศาลาเปิดโล่งรับลม กันสาดกว้างป้องกันแดดฝน พร้อมชุดม้าหินให้ผู้มาติดต่อได้นั่งพัก

"สวัสดีค่ะ มาติดต่อกับทางสถาบันใช่ไหมคะ?" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหญิงสาวผู้นั่งอยู่ในซุ้มประชาสัมพันธ์ในศาลานั้น

"ใช่ค่ะ อยากจะขอชมสถานที่ของทางสถาบันสักหน่อยได้ไหมคะ?" เด็กสาวให้คำตอบพลางเดินเข้าไปหา

"ได้ค่ะ ไม่ทราบว่าจะเยี่ยมชมเพียงอย่างเดียว หรือจะเยี่ยมชมเพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกสถานศึกษาต่อคะ?"

"ประกอบการตัดสินใจเรียนต่อค่ะ"

"กรุณารอสักครู่นะคะ" หญิงสาวคนนั้นลุกขึ้นเดินเข้าในส่วนที่กั้นเป็นห้องทึบไว้เก็บเอกสาร หยิบแฟ้มหนึ่งมาให้

"ข้อมูลโดยทั่วไปเกี่ยวกับโรงเรียนค่ะ"

"ขอบคุณค่ะ" รับมาพลางพลิกดูคร่าวๆก่อนรอบหนึ่ง เธอจึงเอ่ยปากถาม "ต้องคืนรึเปล่าคะ?"

"ไม่ต้องค่ะ เก็บไว้ได้เลยค่ะ"

เด็กสาวเงยหน้าขึ้น กล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้มตอบแทนที่ได้รับมาตลอดการสนทนา และเดินตรงเข้าไปในสถาบัน

................
.....................................


...ในที่สุดก็มาอยู่ตรงนี้จนได้...นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของสถาบันนี้...
...ชมสถานที่.. หาข้อมูลเพิ่มเติม.. ตัดสินใจเลือก.. สมัคร.. สอบ.. และสุดท้ายก็..มายืนอยู่ตรงนี้..

ประตูบานใหญ่ วันนี้ก็เปิดกว้างเช่นเคย แต่ผู้คนที่เดินเข้าออกนั้นมากกว่าวันก่อน ถึงกระนั้นก็ยังบางตากว่าสถาบันอื่นทั่วไป

"สวัสดีค่ะ" ประชาสัมพันธ์คนเดิมทักขึ้นเมื่อเธอหยุดยืนอยู่ที่เดิมกับเมื่อวันก่อนนั้น

"สวัสดีค่ะ" คำตอบกลับนั้นมาพร้อมรอยยิ้ม

"มารายงานตัวและลงทะเบียนใช่หรือเปล่าคะ?"

"ใช่ค่ะ"

"ถ้างั้นไปที่โต๊ะลงทะเบียน ใกล้ๆห้องทะเบียนที่ตึกกลางเลยค่ะ รู้แล้วใช่ไหมคะ ว่าอยู่ตรงไหน?"

"ค่ะ ขอบคุณนะคะ"

"ด้วยความยินดีค่ะ"


เด็กสาวเดินตรงเข้าไปในสถาบัน ทิศทางเดียวกับครั้งแรกที่ก้าวมาเยี่ยมเยือนที่แห่งนี้ ต่างแต่เพียงว่า ครั้งนี้ไม่ได้แวะที่ใด เดินตัดตรงผ่านสวนหย่อม ผ่านตึกหน้า เพื่อมุ่งตรงเข้าสู่ 'โต๊ะลงทะเบียน หน้าตึกกลาง' แต่เพียงสิ่งเดียว

"รายงานตัวและลงทะเบียนเชิญทางนี้เลยค่ะ" เสียงนั้นแว่วมาตั้งแต่เธอเดินเข้าสู่บริเวณลานโล่งหน้าตึกกลาง เรียกให้ผู้มีจุดประสงค์ดังนั้นเดินตรงเข้าไป

ที่โต๊ะนั้น มีคนหนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว รูปร่างที่สูงกว่าเด็กสาวรุ่นเดียวกันโดยทั่วไปเล็กน้อยบดบังรุ่นพี่ร่างเล็กประจำโต๊ะไปได้สนิท

เธอยื่นบัตรประจำตัวสอบให้รุ่นพี่เพื่อป้อนข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องบางที่เชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายไร้สายอันครอบคลุมทั้งสถาบัน

"น้องมณีรัตน์ ลิขิตารัสกานท์ เรียบร้อยแล้วค่ะ" รุ่นพี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นเอกสารชุดหนึ่งให้กับคนข้างๆที่มายืนอยู่ก่อนเธอ ซึ่งเมื่อรับไว้แล้วก็เปิดออกดูคร่าวๆอยู่ตรงนั้น

"น้องรัตติ ธรรมกัลยาณะ เรียบร้อยแล้วเหมือนกันค่ะ" คราวนี้รุ่นพี่หันมาบอกเธอ พร้อมกับยื่นเอกสารชุดเดียวกันให้

"พี่คะ ที่นี่มีภาคพิเศษด้วยเหรอคะ?" คนข้างๆเธอถามขึ้น เอกสารในมือถูกพลิกค้างไว้ในหน้าหนึ่ง

"ค่ะ เป็นภาคเฉพาะที่เรียนเกี่ยวกับการนำเอาจิตมาแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน เดี๋ยวน้องเรียนไปสักเดือนสองเดือน ถ้าสนใจก็จะมีเลือกได้ค่ะ"

"แตกต่างจากภาคปกติหรือเปล่าคะ?"

"ต่างค่ะ แต่พี่ก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก เพราะหลังจากพี่เลือกลงภาคพิเศษแล้วก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรว่าภาคปกติเรียนอะไรกันบ้าง ถ้าน้องอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม ไปถามแผนกวิชาการ หรือไม่ก็รอสักเดือนสองเดือนจนกว่าจะมีให้เลือกลงก็ได้ค่ะ"


เมื่อรายงานตัวและลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เธอกับคนๆนั้นก็เดินออกมาด้วยกัน

"นี่ๆ ชื่ออะไรเหรอ? เราชื่อรัต" คนที่เดินข้างเธอเอ่ยปากถามขึ้นก่อน

"ไนท์"

เขาพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงทัก "ไนท์นี่มาจากคำไหนเหรอ? Night ที่หมายถึงกลางคืน หรือว่า Knight ที่หมายถึงอัศวิน?"

"กลางคืนละมั้ง ชื่อจริงชั้นหมายความว่ากลางคืน น่าจะคล้องกัน"

วันจันทร์, พฤษภาคม 14, 2550

[Plot] ปราชญ์กู้แผ่นดิน

"มหาปราชญ์กู้แผ่นดิน"

แทนที่จะเป็นอัศวินกู้แผ่นดินเหมือนทั่วๆไป คราวนี้เป็นปราชญ์ฉลาดเป็นกรด เน้นหักเหลี่ยมเฉือนคม เล่ห์กลพราวพราย ปั่นหัวกันเป็นว่าเล่น ด้วยมหาปราชญ์กุนซือศึกอันดับหนึ่งจากเรวาซ

"ท่านคือผู้ถูกเลือกแล้ว มาเถิด จงมาสู่มิติเรา รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้กล้า อัศวินนักรบผู้กู้แผ่นดินแห่งศุภชล (สายน้ำแห่งความดีงาม) นามท่านจักได้จารึกลงในประวัติศาสตร์ ผู้ซึ่งคำทำนายโบราณเลือกสรรเอย.."

"ข้าไม่ใช่นักรบ และจะไม่มีวันเป็น!" คนผู้นั้นเถียงขึ้นในทันใด "ข้าเป็นปราชญ์ เจ้าอย่ามาว่าข้าเป็นนักรบเด็ดขาด!"

"เอาเถอะๆ" เสียงนั้นฟังดูเหนื่อยหน่าย "ปราชญ์ก็ปราชญ์ ท่านจงไปกับข้า ไปเป็นปราชญ์ผู้กู้แผ่นดินแห่งศุภชล"

"อย่างนั้นค่อยรับได้หน่อย" คนผู้นั้นตอบ ริมฝีปากเหยียดแสยะออกเป็นรอยยิ้มเย็น "ไปก็ไป ให้มันรู้กันว่า ใครหน้าไหนมันกล้ามาลองดีกับจอมปราชญ์กุนซือศึกอันดับหนึ่งแห่งเรวาซ ข้าจะซัดมันให้หัวปั่น มืดแปดทิศด้วยความมึนเมา ไม่รู้เหนือใต้ด้วยเล่ห์กลของข้า หึหึหึ"

"รุกฆาต" รอยยิ้มนั้นแสยะเหยียดออกกว้างอย่างเยียบเย็น ดวงนัยน์เปล่งประกายโหดเหี้ยมหากพึงพอใจยิ่ง ขับให้ใบหน้านั้นดุร้ายดุจปีศาจ มิเหลือคราบ 'ปราชญ์ผู้กล้า กู้แผ่นดิน' แม้แต่น้อยนิด
"หึหึหึหึ ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวซะบ้างเลย ไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร" น้ำเสียงชั่วร้ายนั้นยังเอ่ยคำพร่ำรำพันกับตนเองต่อไปอีก

วันอาทิตย์, เมษายน 22, 2550

The One Behind You

คนหนึ่งข้างหลังเธอ..
โดย rachan

ระบบการต่อสู้ จาก Tales of Eternia



เราน่ะ... ประสงค์จะปกป้องเขาไว้ด้วยหัตถ์แห่งเรานี้...
เธอคนนั้น... ที่แม้จะมิเคยรู้สึกเช่นใดต่อเรา
แม้ว่าในความเป็นจริง เราเสียอีกที่มิอาจสามารถปกป้องเธอได้
หากจะทำ.. มีแต่เธอนั่นแหละที่อาจปกป้องเรา..


"เซเรห์น(sereihn) เราจะออกไปหาอาหาร ไปด้วยกัน" เสียงสตรีหนึ่งเรียกเราอยู่มิไกล

เราลุกขึ้นหยิบย่ามใกล้ตัวขึ้นสะพายบ่าข้างหนึ่ง พลางเดินไปตามคำเรียก

เธอผู้นั้นมิรอช้า ออกเดินนำหน้าไปก่อนที่เราจะถึงตัว


"เซเรห์น เจ้าเก็บผลไม้แถวนี้ไปก่อนนะ เดี๋ยวเราจะไปล่าหมีแถวนั้นมาซักตัว" เธอหันกลับมาบอกหน่อยนึง ก่อนจะเดินตรงลึกเข้าไปในป่า
เราแลตามไปเช่นทุกครั้ง มิว่าในสถานที่ใด ก่อนจะหันกลับมา ปลดย่ามลงข้างตัวแล้วปีนขึ้นเก็บผลไม้


นานแล้วนะ.. ปกติล่าหมีไม่น่าจะใช้เวลานานขนาดนี้ แม้จะเป็นเราซึ่งฝีมือด้อยกว่ามากก็ตาม

เราแบกย่ามอันใส่ผลไม้ไว้จนเกือบเต็มขึ้นสะพายไหล่ แล้วออกเดินตรงลึกเข้าไปในป่าบ้าง


ภาพเบื้องหน้าทำเอาเราต้องเบิกตากว้าง หมีป่าตัวใหญ่สองตัวกับตัวขนาดกลางอีกราวห้าหกตัว ตั้งวงล้อมสตรีร่างสูงโปร่งแต่เพียงผู้เดียวไว้ท่ามกลาง

"ซิเรเนส!!!!!!!!!!!!" เราปลดย่ามลงกองไว้บนพื้นทันที ออกวิ่งไปพร้อมชักดาบข้างตัวออกมา

เสียงของเราดึงให้ศัตรูจำนวนหนึ่งถอยจากวงนั้นหันมาทางเรา พร้อมกันอีกหลายตัวที่โผล่ออกมาจากบริเวณรอบๆ

แต่ตอนนั้น ..ที่ซิเรหันมาเห็นเรา... หมีตัวใหญ่ตัวหนึ่งตวัดกรงเล็บลงหมายทำร้ายในทันใด...

แม้มันจะพลาด ซิเรเนสอาจหลบได้ แต่ก็ไม่พ้น คมนั้นกรีดไหล่ซ้ายที่บังคับทิศดาบลงไปจนลึก โลหิตซ่านกระเซ็นและไหลลงเป็นทางยาว


แทนที่อะไรจะดีขึ้น แต่ศัตรูที่มากขึ้นกลับทำให้สถานการณ์กลับเป็น แพ้ครึ่ง-ชนะครึ่ง มิต่างจากเดิม

ซิเรเนสเสียอีก ที่ต้องปกป้องเราด้วยการหันไปรับมือศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในวงกว่าครึ่งของจำนวนทั้งหมด

ส่วนเรา ทำได้แค่ระวังหลัง กันไม่ให้พวกที่เหลือมายุ่มย่ามได้เท่านั้น

"เซเรห์น พอมียาเหลือไหม" เธอถามโดยไม่ได้หันมา

เราล้วงลงไปในกระเป๋าคาดเอว หยิบเอาชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ออกมา

"มี" เราตอบ

"ใช้ให้หน่อย"

เรากำเจลยาชิ้นนั้นไว้ โยนขึ้นไปบนฟ้า ร่างของซิเรเรืองแสงขึ้นวูบหนึ่ง บาดแผลหายไปไม่มากนัก

คมดาบของเราสองคมล้มศัตรูลงไปได้อีกคนละตัว ในสภาพที่ชักไม่สู้ดีนัก


โดยทั้งเรามิได้ทันสังเกตเห็นหรือรู้สึก พื้นใต้เท้าเราสองคนเรืองแสงขึ้นเป็นสีฟ้า ลำแสงสว่างใสสาดส่องตรงลงมาจากเบื้องบน สัมผัสอันอ่อนโยนที่จำได้ แม้ยังไม่คุ้น หลั่งรินชุ่มชื้นดังท้องธารา นุ่มนวลอบอุ่นดุจวาโยยามวสันตฤดู

บาดแผล ความเจ็บปวด หายวับไปราวไม่เคยมี พลังที่ช่วงใช้ไปเสียเกือบหมดสิ้น หวนคืนราวมิเคยได้ใช้

จนแสงนั้นจางลง ครานี้เราสัมผัสได้ชัด แผ่นดินใต้เท้าบังเกิดเป็นระลอกคลื่น ปริแตกแตกอย่างเกรี้ยวกราด สูบกลืน ทิ่มแทง มุ่งมาดจักพิฆาตเหล่าศัตรูทั้งมวล

จนพสุธาสงบลง เบื้องหลังฝุ่นควัน เราจึงได้เห็น สภาพของศัตรูที่เคยมีขนเรียบสะอาดด้วยคมดาบยังมิอาจเข้าถึง อาบท่วมด้วยโลหิตตนเอง

"มิเรน" ซิเรเนสตะโกนออกไป "ขออำนาจแห่งวาโย"

วูบหนึ่งนั้นเราเห็น ในดวงเนตรแห่งซิเรเนส แววตาได้เห็นจนชิน แววตาที่ทำให้รู้สึกดี แววตาที่มอบความเชื่อมั่นให้แก่ผู้อื่น แววตาที่บอกว่าจะคอยปกป้อง ..แววตาที่มีความสุข เมื่อได้อยู่ท่ามกลางเพื่อนทุกคน ที่เชื่อใจกัน...

สายลมวูบหนึ่งพัดมา หอบเอาความรู้สึกจากที่แสนไกล ร่างของซิเรเรสเรื่อเรืองขึ้นเป็นเสีเขียวอ่อนๆ

เธออกระโดดขึ้นไป ตวัดคมดาบเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว สร้างบาดแผลลึกที่โลหิตยังมิทันได้กระซ่านเซ็นในทันใด รวดเร็วแต่แข็งแกร่งนัก แม่นยำทุกฝีดาบ

โดยมิต้องร้องขอ เพลิงหนึ่งเริงขึ้นใต้เท้าเรา ห่อหุ้มร่างให้เรืองขึ้นเป็นสีแดง

เราออกวิ่งตามซิเรเรสผู้ทะยานเคียงข้างสายลมไป อำนาจแห่งพระเพลิงผลาญเผา ดับชีวิตของเหล่าไพรีให้สิ้นไป



หนึ่งปีที่ผ่านไป ช่างรวดเร็วนัก
หนึ่งปีที่เราเฝ้าฝึกฝน เผื่อว่าสักวันหนึ่ง เรา...จะปกป้องเขาได้


"เซเรห์น ไปล่าหมีกัน" ซิเรเนสเดินเข้ามาเรียก เราลุกขึ้นยืน มือหยิบเอาย่ามที่เต็มไปด้วยของจำเป็นทั้งหลายสะพายไหล่ไปด้วย

"ปีก่อน เรายังเคยมาเกือบแย่อยู่ที่นี่เลยนะ" เรานึกย้อนไปเรื่องที่ผ่านมา

"นั่นสิ แต่คราวนี้หมีพวกนั้นต้องฆ่าง่ายกว่าตอนนั้น" ซิเรเนสว่า "หนึ่งปีนี้ เราเจออะไรต่างๆนานามากเหลือเกิน ทุกคนพัฒนาขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะเจ้า" เธอหันมาทางเรา "ฝึกซะจนจะเก่งกว่าเราอยู่แล้ว"

"คงอีกนานแหละ" เราว่า พลางชักดาบออกตั้งรับเมื่อเห็นฝูงหมีที่มาต้อนรับอาคันตุกะแปลกหน้า


สายลมจากคมดาบโบกพัด หมีฝูงใหญ่ทั้งสองฝั่งล้มลงโดยพร้อมเพรียง

เราหันไปหาซิเรเนส ยิ้มให้ เธอหันกลับมา ยิ้มตอบ ขยับริมฝีปากเอ่ยคำ

"มากขนาดนี้ จะกินหมดกันเหรอ?"

วันพฤหัสบดี, มีนาคม 29, 2550

...ผืนเพลิง... -บท​ที่​หก สองคน

.........
..ปราชญ์..นั้นคือผู้รู้

มหาปราชญ์.. คือผู้รู้แจ้งจบสิ้นดินสมุทร

จอมปราชญ์.. คือผู้หยั่งรู้ทุกสิ่งสรร มิเว้นแต่จิตมนุษย์อันซับซ้อนลึกล้ำยิ่ง

..เช่นนี้ ศาสตร์เมธีทั้งปวง จึงเป็นศาสตร์แห่งผู้ใฝ่เรียนรู้..
.........

"นี่ตารางเรียน" แฝดผู้พี่นาม กวาดิเอส โผล่เข้ามายื่นกระดาษแผ่นไม่ใหญ่นักสองแผ่นให้ซาเรถึงในห้อง ไม่ลืมสำทับ "ของเจ้ากับเพื่อน เหมือนของข้ากับน้องทุกประการ ประกันได้"

ซาเรยิ้มแยกเขี้ยวขึ้นรับ เอ่ยคำขอบคุณ และแฝดนั้นก็ปิดประตูกลับห้องไป


ร่างสูงโปร่งงามสง่าทรงกายพิงช่องหน้าต่าง แสงแห่งอาทิตย์อัสดงอาบไล้สะท้อนเป็นสีทอง เนตรลึกดังมหรรณพทอดออกไปไกลแสนไกลภายนอก
ร่างบางที่แม้มิได้ดูทรงอำนาจเท่าทรุดกายลงนั่งเคียงข้าง นัยน์สีรัตติแลไปในทิศเดียวกัน ประกายส้มแดงอันปรากฏคล้ายแสงไฟในค่ำคืนค่อยรางเลือนลงยามที่ผืนโพยมผลัดเปลี่ยนจากทิวาสู่ราตรี ดวงดาวเริ่มปรากฏขึ้นพร้อมจันทร์อันทอสีเงินกระจ่างอยู่ท่ามกลาง

เฉดสีแห่งทิฆัมพรเบื้องบนสับเปลี่ยนจากน้ำเงินเข้มดังนัยน์หนึ่งแห่งผู้เฝ้าจับจ้อง เป็นเฉดแห่งอันธการ ณ อีกนัยน์หนึ่งทีละน้อย ความมืดตกลงปกคลุม จากแผ่นฟ้า สู่แผ่นโลก จนมิอาจมองเห็นผู้นั่งเคียงอยู่ด้วยกันได้อย่างชัดเจน

แสงสีเหลืองสว่างปรากฏเรืองรองขึ้นในห้องช้าๆ ผู้ครองร่างเดียวกับเซเรเนย์ทรงกายลุกขึ้น เอื้อมมือออกจับหัตถ์ของผู้อยู่เบื้องหน้ากุมไว้ จนเมนิอาร์นั้นผันหน้ามามอง จึงพบรอยยิ้มของซาเร

"ป่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ"


"นี่จานที่เท่าไหร่แล้วน่ะซาเร" น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยไถ่ถาม เมื่อเห็นผู้นาม'ซาเร'นั้น ถือข้าวมาอีกจานแล้ว

"ไม่รู้จะนับเป็นจานที่สี่ได้รึเปล่านะ เพราะเขาให้แค่ครึ่งจานเอง" น้ำเสียงนั้นค่อนขอด แต่ก็มิได้ถือสาตามเคย
"ข้าวที่ห้องอาหารรวมของหอปราชญ์นี่อร่อยดีนะ แต่ยังไงข้าก็หวังว่าไม่ต้องอยู่กินข้าวที่นี่นานนัก"

เมนิอาร์หาได้ตอบสิ่งใดไม่ เพียงรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกันเบาๆ

...........

แสงทองเริ่มเจือ ณ ขอบฟ้า
สกุณาจากรังมาหากิน
แดดรุกล้ำเข้ามาจนถึงถิ่น
ต้องชีวินหนึ่งซึ่งตื่นอย่างมึนงง


"ซาเร?" เสียงอ่อนเบาเรียกหาผู้หนึ่งที่หายไป
"ซาเร เจ้าไปไหนน่ะ?"

แม้จะเรียกเท่าใด ในห้องนั้นก็ยังคงเงียบงันไร้สุ้มเสียง แม้จะเหลียวมองเท่าใดก็ไม่พบ

แดดเริ่มกล้าแรง ทะลุผ่านม่านเข้ามาเป็นเงาทอดอยู่บนพื้น เซเรเนย์ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง เตรียมตัวไปเรียน


"เมนิอาร์" เจ้าของนามนั้น เมื่อถูกเรียกก็เดินเข้ามาจากริระเบียง
"ลงไปห้องอาหารกันเถอะ"

"อือ"

...........

สีหน้าของผู้ร่วมโตะทั้งสองนั้นแปลก แปลกจนแม้มิใส่ใจก็ยังสังเกตเห็นได้ ด้วยเพราะกิริยาของผู้อยู่เบื้องหน้าในเวลานี้ แตกต่างจากเมื่อวานจากหน้ามือเป็นหลังมือกระมัง

หากมิใช่ว่าเป็นคนละคน ก็น่าคิดอยู่นักว่า มีเหตุอันใดกันที่มาทำให้เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้
จากที่เคยโผงผางพูดมาก วันนี้กลับเรียบร้อยราวเป็นผู้สูงศักดิ์มาแต่ตระกูลใด ทุกท่วงท่านุ่มนวล งดงาม แม้จะเชื่องช้า
และจากที่เมื่อวานขอข้าวถึงสามสี่จาน วันนี้กลับขอเพียงครึ่งจาน...


ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ที่เซเรเนย์รวบช้อนลงบนจาน โดยที่มิอาจมีผู้ใดคาดเดาได้ทันท่วงที ร่างบางนั้นโงนเงนเสียการทรงตัว เนตสีนิลชาด้านราวมิอาจมองเห็นซึ่งสิ่งใด สีหน้าบ่งบอกซึ่งความเจ็บปวดสาหัสนัก และหากไม่ได้เข้าไปเมนิอาร์ประคองไว้ก่อน ก็คงล้มลงกระแทกโต๊ะเบื้องหน้า ภายใต้ความตกตะลึงของเมดิอัสและกวาดิเอส

"เซเรเนย์!"

เมนิอาร์ค่อยๆจัดให้ร่างบางพิงพนักเก้าอี้ไว้อย่างมั่นคง แล้วกุมมือไว้เบาๆ ค่อยๆส่งพลังเวทผ่านเข้าไปปลอบโยนและบรรเทาอาการ
จนร่างอันแข็งนิ่งนั่นค่อยผ่อนคลาย เสียงหอบหายใจช้าลงจนเป็นปกติ นัยน์สีนิลนั้นก็ลืมขึ้น โดยมิมีใครได้ทันตั้งตัว ร่างนั้นดีดตัวขึ้นนั่ง ขอข้าวอีกสามจานมากินทันที!

"เอ่อ.. เจ้า..." กวาดิเอสหลุดปากมาอย่างไม่แน่ใจ
ผู้ถูกเรียกนั้นเงยหน้าขึ้นหน่อยนึง เอ่ยถามทั้งยังข้าวเต็มปาก "ทำไมเหรอ?"

เห็นท่าดังนั้น สีหน้าของกวาดิเอสจึงผ่อนคลายลง ราวว่าแม้จะไม่เข้าใจ แต่กลับมาเป็นอย่างที่คุ้นเคยก็น่าจะดีแล้ว

เมดิอัสหันมองเมนิอาร์อยู่ครู่หนึ่ง จนได้รับการพยักหน้าตอบเบาๆครั้งหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ภายใต้ความเงียบที่ยังมิสร่างซา
"เมื่อครู่นี้คือเซเรเนย์สินะ แต่ที่เห็นอยู่นี่..ซาเร"

ที่เรียบร้อยนัก..ราวคุณหนูผู้สูงศักดิ์ นั่นคือเซเรเนย์
แต่ที่สดใส และพูดมากนัก.. นั่นคือ ซาเร
..ไม่ใช่คนเดียวกัน