วันจันทร์, สิงหาคม 03, 2552

ขีดคั่นเขตฟ้า [เรื่องสั้น]

THE HORIZONTAL LINE ขีดคั่นเขตฟ้า

โดย รติ



..เราหรืออาจอำนาจเยี่ยมแผ่นฟ้า

มิอาจฝ่ากรอบเส้นขีดขวางได้

แม้ความรักคุพล่านท่วมจิตใจ

ก็ว่าใช่อาจก้าวไปหาเธอ..


วิวรรณ.. ผมไม่ได้คุยกับคุณจะครบหนึ่งปีแล้วนะ.. คุณจะไม่ตอบอะไรผมบ้างเลยหรือ...”

ถ้อยความที่ชายหนุ่มส่งให้หญิงสาว เมื่อแรกยังคงถี่ราวกลัวจะไม่ถึงมือ แต่เมื่อบนซองที่ถูกส่งคืนตีตรา'ไม่สามารถติดต่อผู้รับได้'มาทุกครั้ง จดหมายที่จ่าหน้าซองเช่นเดิมก็ค่อยทิ้งระยะลงทุกที

..ไม่สามารถติดต่อผู้รับได้.. สำหรับผู้ที่มีตำแหน่งการงานสูงพอสมควร ความนี้อาจตีได้ทั้งผู้รับนั้นไม่ว่าง หรือกระทั่งจดหมายนั้นๆถูกปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

วิวรรณ..วิวรรณ.. ผมรักคุณขนาดไหน คุณเองก็รู้ไม่ใช่หรือ ตัวคุณเองก็รักผม แม้คุณจะมีงานยุ่งล้นมือ แต่การที่จดหมายที่ผมพยายามติดต่อคุณทุกฉบับถูกส่งกลับมาพร้อมข้อความว่าติดต่อคุณไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าคุณเห็นอย่างอื่นสำคัญจนลืมผมแล้วหรือไร..” ชายหนุ่มรำพันกับตนเอง

ทั้งๆที่ตำแหน่งของผมอยู่ใต้การบังคับบัญชาของคุณ ขึ้นตรงกับคุณโดยเฉพาะ ผมไม่อยู่ใต้ใครอื่นทั้งสิ้นเว้นแต่คุณเท่านั้น เราอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ แต่ทำไมคุณถึงเหินห่าง ช่องว่างระหว่างเรากว้างไกลราวอยู่คนละโลกเช่นนี้..

ก่อนหน้านี้คุณกับผมเคยมีความสุขมากเพียงใด แค่เพียงชั่วพริบตาที่คุณรับภาระหน้าที่ใหม่..ตำแหน่งที่ผมไม่มีวันก้าวตามคุณไปถึง.. คุณก็เปลี่ยนไป ห่างเหินเย็นชากับผมราวกับเป็นคนแปลกหน้า ราวกับว่าเราไม่เคยแม้จะพบหน้า คุณไร้หัวใจได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือไร..”

เมื่อจดหมายทุกฉบับไม่อาจส่งถึง ชายหนุ่มจึงมุ่งหาหนทางอื่น เขาทำทุกวิธี ทุกทางที่เขาทำได้ ใช้อำนาจและความสามารถทุกสิ่งที่เขามี อ้อนวอนเกลี้ยกล่อมชักจูงทุกคนที่เขาพบ แต่ทุกสิ่งนั้นก็ล้วนไร้ผลเช่นเดียวกับกองจดหมายที่ถูกตีกลับนั้น

จนวันหนึ่ง.. คงมีใครได้ยินคำตัดพ้อพร่ำรำพันของเขากระมัง คนจากตระกูลใหญ่ของหญิงสาวจึงมาหาเขา นัดแนะเขาให้เข้าพบผู้นำตระกูล

คุณรัชชา” หัวหน้าตระกูลนั้นเอ่ยขึ้น “คุณเองรับราชการ กินตำแหน่งสูง แม้ไม่ใช่ในสายการเมือง แต่ดิฉันไม่คิดว่าคุณจะไม่ทราบสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันนี้” เธอว่า “คุณควรทราบดี สถานะของวิวรรณในขณะนี้เป็นเช่นไร ดิฉันเรียกคุณมาพบในวันนี้เพื่อจะบอกคุณไม่ให้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิวรรณอีก ในขณะนี้สิ่งที่คุณได้กระทำลงไปยังไม่มีผลใดให้เห็นได้ชัดนัก แต่หากคุณยังจะทำเช่นนี้ต่อไป การกระทำของคุณจะส่งผลให้สมดุลทางการเมืองของเราเสียหาย วิวรรณซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่เปราะบางจะมีผลกระทบโดยตรงเป็นคนแรก”

ขอโทษเถิดครับ” ชายหนุ่มแย้ง “ผมไม่คิดว่าการที่ผมหยุดการกระทำทุกอย่างโดยสิ้นเชิงอย่างที่คุณว่ามาจะเป็นผลดี”

ไม่เป็นผลดีอย่างไรหรือ คุณรัชชา?” เธอถามกลับ

นี่ไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่ายไม่ใช่หรือครับ? ย่อมจะมีทางอื่นที่ดีกว่านี้ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งฝ่ายของคุณ วิวรรณ และรวมถึงผมด้วย แม้จะยังมองไม่เห็นในตอนนี้ แต่เราทุกคนก็ช่วยกันคิดได้ไม่ใช่หรือครับ?” เขาเสนอ

ไม่มีทางที่ดีอย่างในอุดมคติเช่นนั้นหรอกค่ะคุณรัชชา เราทุกคนทราบดีและควรจะยอมรับความจริงในข้อนี้” เธอปฏิเสธสิ่งที่เขาพูด “เราทั้งตระกูลล้วนตระหนักดีถึงจุดยืนบนสถานะอันเปราะบางของตำแหน่งนี้ แม้บุคคลทั่วไปเองก็ควรทราบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะวิวรรณ เธอย่อมรับรู้แน่ชัดถึงหนทางเบื้องหน้าเมื่อเธอรับจะก้าวขึ้นยังตำแหน่งนั้น ทางซึ่งหากเกิดความเสียหายขึ้นเมื่อใดก็ตาม ความเสียหายนั้นจะเป็นความเสียหายของส่วนรวม มิใช่ของคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้น”

ผมไม่เชื่อว่าไม่มีหรอกครับ” ชายหนุ่มดึงดัน “หากเป็นการร่วมมือของทุกคน แม้สิ่งที่ยากจะมีจริงเท่าไรก็มีขึ้นได้”

คุณจะดึงดันเชื่อมั่นเช่นนั้น ดิฉันหรือใครก็ไม่อาจห้ามคุณได้หรอกค่ะ แต่ต้องบอกให้คุณเข้าใจไว้ด้วยว่า เพื่อส่วนรวม เราจะยับยั้งการกระทำอันจะส่งผลเสียต่อวงกว้างของคุณ”

การสนทนาสิ้นสุดลง ณ ตรงนั้น ชายหนุ่มได้รับการเชื้อเชิญอย่างนิ่มนวลให้ออกจากห้องที่ใช้ในการพูดคุย

ไม่หรอก ถ้ายอมฟัง ยอมคิด อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มพร่ำพึมพำกับตนเองเช่นนี้ตลอดเวลา และยิ่งนานวันเข้า เขาก็ยิ่งคิดมาก พาลผิดหวังในทุกคนว่าช่างไม่ยอมคิดแม้สิ่งใด เขาพลอยหวนนึกไปถึงวิวรรณ สงสัยขึ้นมาว่าเธอยอมให้สิ่งรอบตัวบีบรัด ไม่ยอมคิดหาหนทางใดใดเช่นเดียวกับคนอื่นหรือ มิฉะนั้นใช่เธอหมดรักเขาแล้วหรือไรกันแน่

กระทั่งในที่สุด เขาก็มีโอกาสเข้าถึงเธอได้ เมื่องานที่เธอจะมาเป็นงานของหน่วยงานเขา และแม่งานนั้นคือเขาเอง

ยามสบโอกาส เขาส่งสัญญาณให้เธอ เพื่อสื่อสารว่าต้องการจะคุยกับเธอ จากสายตาที่แลมาทางเขานั้น เขารู้ว่าเธอเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ในที่สุดแล้ว เธอก็มิได้แม้แต่เข้ามาใกล้เขา กระทั่งงานสิ้นสุด เธอก็กลับไปเช่นเดียวกับขามา นั่นคือไม่แม้แต่จะเหลือบมองเพียงแวบเดียว ท่าทีทั้งหมดของเธอช่างเย็นชา ทำให้เขาสรุปให้ตนเองได้ในทันใด ว่าเธอนั้นหมดรักเขาแล้ว ง่ายดายราวเด็กที่เบื่อของเล่น บ่งบอกว่าเธอช่างไร้หัวใจ

เขาผิดหวัง ผิดหวังสุดที่จะเยียวยา ผิดหวังทั้งในผู้คนซึ่งไม่ยอมคิด แม้จะฟังเขาว่าความคิดช่างทรงพลังมหาศาลเพียงไร และผิดหวังที่สุดคือเธอ ที่เธอสะบั้นเยื่อใยเขาได้รวดเร็วสิ้นดี

เช่นนี้... ชายหนุ่มจึงเก็บกระเป๋า เขาไม่รู้ว่าจะอยู่เมืองกรุง แดนฟ้าศิวิไลซ์นี้ไปอีกเพื่อเหตุผลใดกัน จากไปเสียดีกว่า จากไปโดยไม่กลับมายุ่งเกี่ยวกับโลกอันน่าผิดหวังนี้อีกเลย ...ตลอดกาล..


ฉันยังจำทุกสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตได้ดี วัยเด็กอันเข้มงวดซึ่งเป็นรากฐานในชีวิต การศึกษาซึ่งพัฒนาต่อยอดเป็นความสามารถ ชีวิตการทำงานอย่างสมบุกสมบันในช่วงแรกซึ่งสร้างความอดทนและทำให้หนักเอาเบาสู้ และฉันก็ยังจำได้ เมื่อฉันก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงตำแหน่งหนึ่ง และได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขในแบบของคนมีความรัก

ฉันพบเขาครั้งแรกเมื่อฉันลงพื้นี่เก็บข้อมูลในชนบท เป็นการกรำงานหนักครั้งสุดท้ายก่อนฉันจะกลับกรุงและก้าวเข้าสู่แวดวงข้าราชการฝ่ายบริหาร เขาเป็นนายอำเภอที่มีหัวคิดทันสมัยกว่าข้าราชการท้องถิ่นส่วนใหญ่ แม้เขาจะไม่เคยเดินทางไกลไปศึกษาถึงในกรุงแต่ความคิดหลายๆอย่างของเขาดีไม่แพ้คนกรุงชั้นหัวกะทิเลยทีเดียว ฉันชื่นชมคุณลักษณะเช่นนั้นของเขา ต้องการให้ข้าราชการท้องถิ่นทุกคนรู้จักคิดเช่นเขา

ตลอดระยะการทำงาน ฉันได้พูดคุยและถกเรื่องในหัวข้อต่างๆมากมายกับเขา การแลกเปลี่ยนความเห็นกันเช่นนี้ทำให้เราสนิทกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่องานของฉันเสร็จเรียบร้อย เราก็สามารถคุยกันได้ในสารพัดเรื่องอย่างเพื่อนคนหนึ่งแล้ว

ฉันรู้สึกแปลกใจ เมื่อฉันบอกเขาว่าฉันจะกลับกรุงแล้ว เขาผู้มุ่งมั่นทำงานเพื่อบ้านเกิดกลับบอกฉันว่า เขาจะเข้าไปทำงานในกรุง อันหมายถึงการละทิ้งสิ่งที่ทำเพื่อบ้านเกิดขณะนั้นไว้เบื้องหลังเพื่อฝากความหวังไว้กับอนาคตราวคนไปตายเอาดาบหน้า

เมื่อกลับถึงกรุง ฉันกลับตระกูลและได้เริ่มงานบริหารในตำแหน่งซึ่งเหมาะสมกับความสามารถพื้นฐานของตนเองในทันที ฉันใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการศึกษางาน แล้วก็จมดิ่งสู่งานนั้นอย่างเต็มตัว เวลาของฉันไหลผ่านไปเรื่อยพร้อมตำแหน่งที่ถูกขึ้นให้ตรงกับความถนัดและท้าทายความสามารถยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เวลาเหล่านั้นฉันอยู่แต่กับงานเท่านั้น แทบไม่ได้ติดต่อกับใครๆซึ่งไม่เกี่ยวกับงานที่ทำเลย

วันหนึ่ง ฉันพบบัตรเชิญที่แปลกตาวางอยู่บนโต๊ะทำงาน บัตรเชิญใบนั้นเขียนด้วยลายมือ เชิญฉันไปทานอาหารในฐานะที่เจ้าของบัตรเชิญนั้นได้เลื่อนตำแหน่งในแวดวงราชการ บัตรนั้นเชิญฉันแต่เพียงคนเดียวด้วยเหตุผลว่าฉันเป็นเพ่อนที่เขาอยากเฉลิมฉลองด้วยเป็นพิเศษ บัตรเชิญนั้นลงชื่อว่ารัชชา อดีตนายอำเภอที่มีหัวคิดทันสมัยคนนั้นน่ะเอง

ระหว่างทานอาหารมื้อนั้น เราไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันอย่างคนที่ไม่ได้พบปะกันมานานพอสมควร ได้พูดคุยในเรื่องต่างต่างนานา จนอาหารจานหลักทั้งหมดถูกเก็บลงจากโต๊ะ พักระยะชั่วครู่ก่อนอาหารหวานจะขึ้นเสริฟ เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มองหน้าฉัน แล้วก็เอ่ยขึ้นมาว่า “วิวรรณ ผมรักคุณครับ” จากนั้นเขาก็เล่าความรู้สึกของเขานับแต่พบฉันให้ฟัง

เขาบอกว่า เขาเริ่มรักฉันตั้งแต่เรารู้จักกันที่ต่างจังหวัด เมื่อฉันบอกเขาว่าจะกลับกรุง เขาตัดสินใจเข้ากรุงเพื่อรับราชการพิสูจน์ตนเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแม้แต่งานซึ่งเขาอุทิศให้ เมื่อมาถึงกรุง ขณะที่ฉันกลับตระกูลและเริ่มงานของตนเอง เขาก็เข้ารับราชการเช่นกันในอีกสายงานหนึ่งซึ่งไม่มีอิทธิพลต่อการเมือง เขาทุ่มเทความสามารถทั้งหมดเพื่อไต่ระดับขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูง เพื่อไล่ตามฉันและเพื่อใช้แสดงให้ตระกูลของฉันซึ่งเป็นข้าราชการบริหารระดับสูงสืบต่อกันมานานเห็นว่าเขาไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก

จนถึงวันนั้น.. ที่เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งซึ่งทัดเทียมกับฉันในขณะนั้น ตำแหน่งซึ่งมิใช่ว่าใครที่ไหนก็ขึ้นไปได้

เวลานั้นแต่นั้นเอง.. ที่ฉันได้มีความสุขอย่างคนมีความรัก มีที่ว่างและมีเวลาสำหรับสิ่งที่ไม่ใช่งาน..

หลังจากนั้นไม่นาน คนทั้งประเทศก็ได้รับข่าวร้าย กษัตริย์พร้อมเจ้าฟ้ารัชทายาทสิ้นพระชนม์พร้อมกันด้วยอุบัติเหตุ ตามกฏมนฑียรบาลจึงต้องมีการจัดรายนามผู้มีสิทธิสืบบัลลังก์ซึ่งมีอยู่ไม่มากนักเพื่อคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นที่สุด ผู้ที่ได้รับเลือกจากรายนามเหล่านั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้รับการตัดสินว่ามีทั้งคุณวุฒิและความสามารถเหมาะสมที่สุด เธอเป็นบุตรีของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงพระองค์หนึ่งผู้ลงมาเป็นสามัญชนใต้ชายคาตระกูลใหญ่ซึ่งเป็นข้าราชการมาทุกยุคสมัย ผู้หญิงคนนั้นชื่อวิวรรณ คือฉันเอง

ฉัน รวมถึงทุกคนในตระกูล ตระหนักรู้มาตลอดว่าสมดุลทางการเมืองในปัจจุบันไม่มั่นคงเท่าใดนัก ตัวเชื่อมจุดเพียวที่ค้ำจุนมาตลอดคือพระมหากษัตริย์ แม้ก่อนหน้านี้ทั้งหมด พระองค์จะทรงจัดการดูแลโครงสร้างการเมืองให้แข็งแรงแน่นหนาขึ้น แต่เมื่อพระองค์ผู้เป็นศูนย์รวมสิ้นพระชนม์ไปโดยกระทันหันเช่นนี้ สภาวะการเมืองก็เป็นดังบ้านที่ยังซ่อมไม่เสร็จ คงค้างคาอยู่ครึ่งๆกลางๆ แต่ผู้คุมการทั้งหมดล้มหายตายจากไปเสียก่อน ความคาดหวังทั้งหมดจึงถูกเทลงให้คนที่มาแทน ตำแหน่งซึ่งฉันเป็นผู้ถูกเลือกนี้จึงกุมอยู่บนความเปราะบางอ่อนไหว ต้องรับมือกับความคาดหวัง และต้องประคองบ้านอันเปรียบเป็นระบบการเมืองหลังนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ ต้องพิสูจน์ตนเองเพื่อความเชื่อถือท่ามกลางหน้าที่และความรับผิดชอบมหาศาลที่จะกดทับลงบนบา ย้ำเตือนอยู่ทุกเวลา

หากรับตำแหน่งนี้ ถ้าจะทำให้ได้ดี สิ่งแรกที่ต้องทิ้งคือการคิดถึงแต่ตัวเอง

นับแต่เด็ก สิ่งสำคัญที่ถูกปลูกฝังมาตลอดและถ่ายทอดทางสายเลือด คือความรับผิดชอบและการคำนึงถึงส่วนรวมเสมอ คนที่เป็นข้าราชการ ยิ่งโดยเฉพาะฝ่ายบริหารบ้านเมืองระดับสูง จะต้องทำเพื่อประเทศเพื่อคนอื่นทั้งหมด ไม่ใช่เพื่อตนเองคนเดียว

ด้วยคำเหล่านี้ ฉันจึงตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย ฉันเลือกที่จะทิ้ง “วิวรรณ” ที่เป็นปุถุชนไว้เบื้องหลัง ที่จะก้าวขึ้นและนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงอันเปราะบางที่สุดจะมีแต่ “วิวรรณ” เพื่อส่วนรวมเท่านั้น

...ไม่มีอะไรสำคัญเท่าส่วนรวม..


...ฟ้าย่อมมีเส้นขีดขวาง

คั่นทางด้วยแบ่งเขตไว้

หากแม้ขวากหนามฝ่าได้

ฤๅใช่อาจเยี่ยมนภา..



.... จบ ....

สองคนบนทางเดียวกัน [เรื่องสั้น]

On the same path .... สองคนบนทางเดียวกัน


"เอตรา" เรากัดฟันเอ่ยชื่อเธอ "เราแยกกันเถอะ"

ทันทีที่ประโยคซึ่งทั้งตั้งใจและฝืนใจตนเองว่าจะมาพูดหลุดจากปากไป เรารู้สึกเหมือนหัวใจถูกกรีดแตกเป็นเสี่ยง ความรู้สึกทั้งเจ็บปวดและรู้สึกผิดโถมถั่งดังปริออกมาจากใจที่แตกร้าว โลกที่ปรากฏราวจะย่อยยับไป ณ ตรงนั้น เพียงเมื่อภาพแห่งความทรงจำไหลบ่าขึ้นมาหลังดวงตา

ราวกับจะตาย... แต่เราก็ยังต้องฝืนตัวเองให้ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนไม่เป็นอะไร ทั้งที่มือซึ่งกำรั้วลวดเบื้องหลังสั่นกึก แทบจะหมดเรี่ยวแรงล้มลงไปร้องไห้บนพื้นต่อหน้าเธอได้ในทุกวินาที

เจ็บ.. เจ็บเหลือเกิน.. เจ็บจนต้องก้มหน้าลง ไม่ให้เธอเห็นแววตาที่สะท้อนความรู้สึกออกมาจนหมดสิ้น

เธอ.. ก็เจ็บแบบนี้เหมือนกัน..


ไม่มีคำตัดพ้อต่อว่าหรือกระทั่งถามเหตุผล เพียงแต่มีน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงจากหางตา.. ก่อนที่จะรินลงเป็นสายราวทำนบพังทลาย เราก้มหน้าลงต่ำ ขบฟันแน่น ข่มใจตัวเองไว้ ไม่ให้ทำอะไรโดยไม่ทันคิดลงไป แม้การทำแบบนี้.. จะบอกคนอื่นได้ดีเหลือเกิน ว่าเรารู้สึกอย่างไร

แม้จะรู้ดีว่าการตัดสินอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว แม้มันจะทำให้เราเจ็บปวดกันทั้งสองคน รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีต่อทุกคน ไม่ใช่แค่เพียงคนรอบข้าง แต่หมายถึงโลกทั้งใบ และอาจจะจักรวาลอันเวิ้งว้างนี้ด้วย แต่ว่า.. เมื่อเขาพูดออกมา.. ตัดสินใจว่าเราสองคนควรจะเลิกราจากกัน.. มันเจ็บนัก.. เจ็บเหลือเกิน..

หักใจเสีย.. อย่างไรก็ต้องผ่านตอนนี้ไปให้ได้.. เพราะว่า.. ที่สุดแล้วมันก็จะผ่านไป.. ถึงเป็นร้อยปีพันปี แต่ถึงจุดสุดท้าย ที่จุดสิ้นสุดของจักรวาล ก็จะไม่มีเราสองคนอีกต่อไป..

"เราสองคน" ไม่อาจจะ "ผ่านเรื่องร้ายไปด้วยกัน" ได้อยู่แล้ว..
เพราะเราสองคน.. เป็นคนที่เดินอยู่บนทางนี้ด้วยกันทั้งสองคน..


เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเดินบนทางนี้ แต่"เลือก"ที่จะเป็นคนบางทางนี้ และเดินบนทางนี้ ทางนี้..ซึ่งจริงแล้วมิใช่ว่าใครใครก็เลือกเดินได้ ทางซึ่งจริงแล้วทรงสิทธิ์และสบายกว่าใครทั้งสิ้น มีกฏเพียงข้อเดียว กฏข้อเดียวซึ่งจริงแล้วไม่สำคัญเลยด้วยซ้ำ หากเพียงแต่จะไม่บังเอิญจนราวกับใครที่กุมชะตาทุกสรรพสิ่งขีดส่งมาให้เท่านั้น

"โลก"มีตำแหน่งหนึ่งเพื่อความแข็งแกร่งในการป้องกันตนเอง เป็นทหารยศพิเศษ ไม่ขึ้นตรงต่อผู้ใด มีหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวคือทำให้โลกผ่านวิกฤตอันรุนแรงไปได้ ตำแหน่งนี้มีเพียงสองคน แต่ละคนจะได้รับพลังและความรู้มหาศาลสำหรับหน้าที่นั้น

หากไม่มีเรื่องราวใดๆให้ต้องสะสาง ผู้อยู่ในตำแหน่งนี้จะได้ว่างตลอดปี อยู่อย่างสุขสบายทั้งครอบครัวราวชนชั้นอภิสิทธิ์ เป็นการตอบแทนตำแหน่งและพลังในตัวซึ่งไม่สามารถถอนคืนได้ กฏเพียงข้อเดียวของผู้อยู่ในตำแหน่งนี้คือจะเข้าใกล้ผู้อยู่ในตำแหน่งนี้อีกคนไม่ได้ เนื่องจากพลังอันมหาศาลจะทำปฏิกริยาซึ่งกันและกัน อาจส่งผลกระทบต่อทั้งจักรวาล แม้ไม่ใช่ว่าเพียงเดินสวนกันก็ทำไม่ได้ แต่ความเสี่ยงซึ่งประมาณมิได้นี้ทำให้ต้องระวังอย่างเป็นที่สุด สองพลังนี้ราวกับเคมีสองตัวอันมีปฏิกริยาร้ายแรงต่อกัน เพียงจะช้าเร็วเท่านั้น

เราสองคน.. คือคนสองคนที่เดินอยู่บนหนทางนั้น..
คนซึ่งไม่ควรแม้แต่อยู่ใกล้กัน กลับได้มารู้จักและรักกัน กระทั่งรู้ในท้ายที่สุดว่าเดินอยู่บนทางนี้เช่นเดียวกัน โชคดีถึงเพียงใดแล้ว ที่ปฏิกริยาของพลังอันมหาศาลนั้นยังไม่ปรากฏ ฉะนั้น.. ถึงจะรักกันสักเพียงใด เราสองคน..ก็ไม่ควรอยู่ด้วยกัน เราสองคนก็ต่างมีคนข้างหลัง.. มีครอบครัวเพื่อนฝูงคนรู้จักและอื่นๆอีกมากมาย เราสองคนได้รับอะไรมามากมาย.. ฉะนั้น ถึงจะฟังดูเป็นอย่างไรก็เถิด เราสองคนก็ควรจะปล่อยให้ความรู้สึกในใจล่องลอยไปในฝัน และเอาส่วนที่คิดถึงทุกๆคนมาใส่ไว้ในความเป็นจริงแทน

เพราะงั้น.. แยกกันนั่นแหละดีแล้ว..


"อื้อ" เรากล้ำกลืนความรู้สึก ก่อนจะบอกกับเขา "เราแยกกันเถอะ ชาลัย"

............

เรารู้จักกันตั้งแต่เกือบสามปีก่อน ทำไมเรื่องราวมันถึงได้ยาวนานถึงเพียงนั้นก็ไม่รู้

ตอนนั้น เกิดเหตุฉุกเฉิน มีแผ่นดินไหวทำให้แผ่นดินแยก หมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ริมขอบผาจมลงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว เราปฏิบัติภารกิจอยู่ห่างจากที่นั่นประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรได้ อยู่ในป่าบนเขาสูงชันกับหน่วยข่าวกรอง ลักลอบดักข้อมูลลับที่สุด เราไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นโชค เป็นเรื่องบังเอิญ หรือคืออะไร ภารกิจของเราลุล่วงไปได้โดยง่ายทั้งที่ควรมีอุปสรรคมากมายให้เราต้องทำ เรารีบรุดลงมายังที่เกิดเหตุ ไม่ห่วงว่าทางศูนย์กลางจะส่งคนที่เดินบนทางเดียวกับเราคนนั้นมาก่อนแล้ว ด้วยเราส่งข่าวว่าภารกิจเราลุล่วงไปด้วยดีไปตั้งแต่คืนก่อน

เมื่อลงมาถึง เราก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่ใช้ความสามารถทั้งหมดที่เราช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และหากมีเวลาและกำลังเหลือพอ ก็กอบกู้ทรัพย์สินและที่พักอาศัยบางส่วนขึ้นมาด้วย

เราทำงานประสานกับคนมากมาย แต่ไม่ได้สนใจเลยว่า นอกจากเราแล้วมีใครอีกบ้างที่ลงมากอบกู้ภัยพิบัตินี้ กระทั่งเหตุการณ์กลับเป็นปกติ ทุกคนได้รับการช่วยเหลือในระยะยาวอย่างน่าพึงพอใจเรียบร้อยแล้ว ทุกคนถึงลงมานั่งกินข้าวคุยกัน ล้อมโต๊ะยาวโต๊ะเดียวกัน

มีคนมากมายที่ลงมาช่วยในช่วงสุดท้าย ทั้งเพื่อซ่อมแซม สร้างใหม่ รวมถึงติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ต่างจากช่วงแรกที่มีแต่การกู้ภัย ในบรรดาผู้คนทั้งหมด เราชอบใจแนวความคิดของคนที่มักจะนั่งอยู่อีกฝั่งโต๊ะ เยื้องกับเรา เราไม่ได้สนใจอะไรกับรายละเอียดของผู้คนบนโต๊ะเท่าไรนัก แต่ว่า เมื่อใดที่เขาแสดงความคิดเห็น สิ่งที่เขาพูดนั้นช่างมีเอกลักษณ์จนเราจำได้ หากอัดเสียงมาเปิดเฉยๆโดยไม่ได้บอกว่าเป็นใคร เราเชื่อว่าเราบอกได้โดยไม่ผิดอย่างแน่นอน

ก่อนจะได้แยกย้ายกันกลับ ยังมีอะไรต้องทำอีกสองสามอย่าง เราได้คุยกับคนนั้นหลายครั้ง รู้สึกว่าเข้ากันได้ดี เราสองคนจึงแลกโค้ดไว้ติดต่อกัน และก็กลายเป็นเพื่อนกัน

เริ่มแรก พวกเราไม่ได้คุยกันบ่อยนัก แต่เมื่อเจอหนังสือ บทความ เพลง สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร หรืออะไรก็ตามที่น่าสนใจก็มักจะส่งไปแลกเปลี่ยนกัน พวกเรามักฝากข้อความไว้แทนจะคุยกันตัวต่อตัว ด้วยเวลาที่จะอยู่รับการติดต่อได้พอดีกับที่อีกฝ่ายติดต่อเข้ามานั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง

พวกเราได้คุยกันอีกครั้ง ก็กว่าครึ่งปีผ่านไป เมื่อเขาส่งรายละเอียดการสัมนาชมธรรมชาติมาให้ เราว่าง เขาว่าง โดยไม่ได้นัดกัน พวกเราเจอกันที่งาน ได้คุยอะไรมากมายเพิ่มเติมจากเมื่อครั้งเกิดภัยพิบัตินัก พวกเราสนิทกันยิ่งกว่าเดิม จนตกลงจะบอกอีกฝ่ายว่าในหนึ่งสัปดาห์ใครต่างว่างเมื่อไหร่กันบ้าง เผื่อจะมีเวลามานั่งชิมอาหารแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

เราสองคนว่างตรงกันครั้งแรกเมื่อกว่าสามเดือนผ่านไป งานของเราช่วงนั้นเบาบางลงบ้าง ดูเหมือนว่าเขาก็เช่นกัน เราสองคนว่างตรงกันประมาณสองสัปดาห์ครั้ง ว่างอยู่ได้เช่นนั้นราวสี่ห้าเดือนก็กลับไปยุ่งเช่นเดิม แต่ความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนาไปมากมาย

สองเดือนถัดมา เขานัดเราทานอาหารเย็นที่เรากับเขาเคยไปชิมด้วยกันครั้งหนึ่ง เขาขอเป็นแฟนกับเรา ท่ามกลางความแปลกใจของเรา ว่าเราสองคนสนิทกันมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

เกือบหนึ่งปีครึ่ง เรากับเขาจากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้ใจกัน และพัฒนาไปเรื่อยโดยไม่หยุด กระทั่งรู้โดยไม่ต้องถามว่าอยากได้อะไร รู้สึกอย่างไร แม้นั่นจะเป็นสามปีที่ยุ่งอย่างประหลาด อย่างที่เราไม่เคยยุ่งติดต่อกันยาวนานขนาดนั้นมาก่อนนับตั้งแต่จำได้ และพวกเราก็ได้คุยกันนานๆครั้งเท่านั้น

ช่างน่าแปลกนัก ในระยะเวลาที่ยาวนานนั้น เราไม่เคยสังหรณ์ใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว...

เราไม่เคยถาม ว่าเขาทำงานอะไร เขาเองก็ไม่เคยถามเราเช่นกัน เรารู้แต่เพียงว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และครั้งนั้นก็ได้ลงพื้นที่มากู้ภัยเช่นเดียวกับหลายๆคนเท่านั้น

นอกเหนือจากหน้าที่ เราไม่ชอบคุยเกี่ยวกับงานของตัวเอง งานของเราไม่ใช่สิ่งที่จะบอกใครได้เท่าไรนัก เพราะอย่างนี้ เราจึงถือว่าเรื่องงานของแต่ละคนเป็นเรื่องส่วนตัว หากไม่เล่า เราจะไม่ถาม และจะไม่ไปก้าวก่ายเรื่องของใครทั้งสิ้น หากไม่ใช่หน้าที่หรือเกี่ยวข้องกับความเป็นตาย

กว่าเราจะรู้... ก็เมื่อถูกเรียกให้ไปจัดการกับงานตรวจสอบ งานนี้เคยผ่านมือคนมามากมาย เป็นงานลับที่ความรับผิดชอบไม่อยู่ในมือใครนาน การตรวจสอบย้อนหลังทำให้เราพบว่า คนบนทางนี้อีกคนก็เคยได้ทำงานนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว เราแปลกใจที่ได้เห็นลายมืออันคุ้ยเคย และเมื่อเปิดไปท้ายเอกสาร.. ก็ได้พบกับชื่อที่คุ้นเคยกำกับด้วยตำแหน่งและยศพิเศษทางการทหาร ยศที่เท่าเทียมกับเรา..

..คนที่ไม่ควรเข้าใกล้โดยเด็ดขาด..

เรารู้โดยทันทีว่าควรจะทำอะไร เราผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงมาไม่น้อย รู้ว่าเมื่อใดที่ควรตัดสินใจเฉียบขาด ลังเลมิได้แม้แต่เสี้ยววินาที เดิมพันของเรื่องนี้สูงยิ่งนัก

เราวางมือจากงาน ติดต่อไปยังโรงพิมพ์พานิชย์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง สั่งพิมพ์การ์ดเรียบง่ายหนึ่งแผ่น เขียนเพียงชื่อและยศของเรา ส่งให้เขาโดยไม่ผ่านมือเรา เราไม่กล้าเขียนจดหมาย ไม่กล้าส่งข้อความไปให้เขาตรงๆ เราไม่อยากเสี่ยงกับอะไรทั้งสิ้น..

..เดิมพันครั้งนี้สูงเกินไป..

เราไม่เคยรู้สึกตัวว่าเรารักเขา เพียงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เข้ากับเราได้ดี เข้าใจเราเสมอมา แต่ว่า เมื่อเราวางปากกาในมือลงหลังจากลงชื่อในที่สุดท้ายเสร็จ เรารู้สึกเหนื่อย.. เหนื่อยเหลือเกิน..

งานตรงหน้านี้ไม่ใช่งานด่วน ทว่า เราก็รีบทำ หมกมุ่นอยู่กับมันราวกับต้องการจะหนีจากอะไร เราไม่อยากให้ตัวเองว่าง เรากลัวความรู้สึกของตัวเอง กลัวว่าเราจะคุมตัวเองไม่ได้ จะทำความสูญเสียมหาศาลเพียงเพื่ออารมณ์วูบเดียวของตัวเอง..

เรารู้สึกเจ็บแปลบอย่างแปลกประหลาด.. เจ็บ..จนกลัวเหลือเกิน..

..........

ตอนที่เรากลับมาถึงบ้าน มีการ์ดสีขาวเรียบง่ายวางอยู่บนโต๊ะ เราหยิบมาพลิกดูอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่แล้วกลับรู้สึกราวกับว่าลมหายใจหยุดกึกลงทันที

บนการ์ดนั้นมีตัวอักษรสีสวยเล่นหาง บรรทัดแรกเป็นชื่อเต็มของคนที่เรารู้สึกดีด้วย ส่วนบรรทัดล่าง เป็นยศพิเศษทางการทหารที่เหมือนกับของเราไม่ผิดเพี้ยน

ยศที่มีเพียงสองคน.. สองคนที่ไม่ควรแม้แต่จะอยู่ใกล้กันในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ในเวลาเดียวกัน... สองคนที่ส่วนกลางควรจะแยกไว้คนละมุมโลก...

เราสองคน.. เจอกันได้ยังไงกัน...

เราทรุดลงบนเก้าอี้โดยแทบไม่รู้สึกตัว ในใจนิ่งงงงัน ชาไปหมด

รู้..ว่าควรจะทำอะไร แต่ว่า..ก็ยังอยากเจอเธออีกครั้งหนึ่ง อยากบอกลา..เป็นครั้งสุดท้าย

..........

ลมหนาวพัดมา ยะเยือกเย็น แต่ไม่หนาวเลย สำหรับคนที่ผ่านอากาศเลวร้ายมาหลายครั้งแล้วอย่างเราสองคน

ต้นไม้โยกไปตามกระแสลม ไปไม้แห้งกรอบร่วงคว้าง สวนสาธารณะชานเมืองแห่งนี้ว่างเปล่า เงียบไร้คน

เราสองคนยืนห่างกันไม่น้อยเลย แม้จะยอมตามใจตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงอยู่ดี

ไม่กล้ามองหน้ากัน.. เพราะกลัว... กลัวไปหมดทุกอย่าง..

เขาขอเรา ให้เขาเป็นคนพูดเอง ให้เขาเป็นคนบอกลา ตัดขาดกัน ให้เขาได้ทำเพื่อเรา... เจ็บปวดแทนเรา.. ในครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เป็นคนเคยคุ้นกัน..

ให้เหมือนกับว่าเขาเป็นคนตัดสินใจ.. แม้เราจะตัดสินใจเหมือนกันก็ตาม...

“เอตรา" เขากัดฟันเอ่ยชื่อเรา "เราแยกกันเถอะ"

น้ำตา

บางครั้ง... ก็ได้สัมผัสว่า ความรู้สึกที่แทบไม่อาจจะบรรยายได้นั้นเป็นเช่นไร

บางครั้ง... ที่แทบพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว มีแต่ความรู้สึกที่อัดอยู่แน่นไปหมด

บางครั้ง... ที่สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือปล่อยให้น้ำตารินไหลลงมา ไม่มีแม้แต่บทเพลงจะขับกล่อม ไม่มีอะไรจะแทน

หรือบรรยายสิ่งที่รู้สึกอยู่นี้ได้เลย..

ไม่อาจจะคร่ำครวญได้ดังเช่นผู้อื่น.. ทว่าก็ไม่อาจจะร่ายบทกวีอย่างที่เคยภูมิใจนักหนา
ไม่อาจจะแสดงความรู้สึกได้มากไปกว่าน้ำตา ที่ไหลลงมาเงียบๆอย่างไม่มีใครได้ยิน

เจ็บ.. เจ็บปวดยิ่งนัก..

ความรวดร้าวไหลปลาบไปทั้งร่าง กึ่งหนึ่งนิ่งขึงด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยาย อีกกึ่งหนึ่งร่ำร้อง พร่ำปลอบด้วยถ้อย

คำที่ไม่อาจจะรู้สึกและเข้าใจ

เศษเสี้ยววินาทีเนิ่นนานเนิบช้า ราวเวลาจะหยุดนิ่งอยู่แต่ ณ ที่นี้ ความเจ็บปวดจะมิมีวันเลยผ่าน อนาคตมิมีวันจะมาถึง
ไม่มีอีกแล้ว อดีต อนาคต หรือปัจจุบัน มีแต่ห้วงความว่างเปล่าเวิ้งว้าง ถมเต็มด้วยความเศร้า เป็นโลกที่ไร้ทางออก

วันอังคาร, กรกฎาคม 07, 2552

มีแต่ตัวเอง..

อะไรเล่า.. จะดับไฟให้ใจเราได้ หากมิใช่ตัวของเราเอง
อะไรเล่า.. จะล้างความเจ็บปวดหลังดวงตาออกไปได้ หากมิใช่หัวใจของเราเอง
แม้ดั่งตกอยู่ในอเวจีไร้หวัง อยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางเงาหมอกม่านมัวมากมาย ใครก็ช่วยเราไม่ได้ นอกจากตัวเราเอง
ทว่า.. การจะลุกขึ้นนั้นยากนัก ที่จะเดินไปด้วยตัวเอง
มิใช่ง่ายเลย ที่จะฟันฝ่าทุกเรื่องราวไปด้วยตัวเองคนเดียว
ทว่า.. ทว่าก็ต้องทำให้ได้มิใช่หรือ..?
แม้แลดูสิ้นหวังเท่าใด ก็มิใช่เป็นไปไม่ได้มิใช่หรือ?
และเพราะผ่านเรื่องดูซีดจางห่างจากความเป็นจริงไปได้ไม่ใช่หรือ หัวใจเราจึงแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม..

วันจันทร์, กรกฎาคม 06, 2552

บทนี้ไม่มีชื่อ

เรามิเคยเห็นฝันในตาเจ้า มิเห็นเงาแห่งความหวังเคยฉายฉาน
เจามิเห็นชวาลาส่องนำกาล มิเห็นพานพุ่มดอกไม้ที่วางลง
เกียรติศักดิ์มากมายมอบไว้ให้ เจ้ามิเคยมีใจไปไหลหลง
หทัยเจ้ายึดติดอยู่มั่นคง เพียงจมลง ณ ฝันแห่งราตรี

ใจที่ลืม

ดวงใจเอ๋ย.. เราแทบมิเคยเข้าใจเจ้าเลยใช่หรือไม่..?
เราปล่อยเจ้าไว้ เดียวดายภายในความเงียบงัน..
ดวงใจเอ๋ย.. เรามิเคยรักเจ้าเลยหรือไรกัน..?
ทั้งที่เรานั้น.. ควรรักเจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด..
ดวงใจเอ๋ย.. เราละเลยเจ้ามานานถึงเพียงไหน..?
แม้ยามเจ้าบอบช้ำเจีบนตาย เราก็มิได้เหลียวแล..
ดวงใจเอ๋ย.. เราควรทำเช่นไร..?
ต้องชดใช้ให้เจ้าเพียงใด.. ถึงจะสมควรกัน..
ดวงใจเอ๋ย.. เราควรรูดียิ่งนัก..
บาดแผลที่กรีดลึกจัก..
..มิมีวันสมานได้ง่ายเลย..

เขียนให้ร่างกายตัวเอง วันนั้นป่วย

หยุดซะ..

หยุดเสียทีเถิด.. หยุดคิดเสียที
โลกเบื้องหน้าเธอนั้น มิได้มีเพียงหม่นสีมิใช่หรือ?
หยุดคิดเสียทีเถิด.. เลิกกลัวเสียที..
หากทำต่อไปอย่างนี้ ที่สุดแล้วจะมีแต่เธอที่เสียใจ..
ทางเบื้องหน้ายังไกลยิ่งนัก ข้างทางยังมีอะไรมากมาย..
จะหยุดแค่ตรงนี้ไม่ได้ จะเสียเวลาไปทำไมกัน
เธอยังมีหวังอยู่เบื้องหน้า เธอยังมีความฝัน
ถ้าหากทิ้งมัน จะไม่อาจเรียกอะไรคืนมา

เขียนเอง ให้ตัวเอง วันก่อน

หม่นสี..

เรามองไปเบื้องหน้า ด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า
ฝันที่สีแพรวพราว นี่นก็ราวจะหม่นลง
เรามองไปเบื้องหน้า แลไปไม่เห็นความหวัง
แต่แม้จะสิ้นพลัง ก็ต้องเดินต่อไป
เรามองไปเบื้องหน้า รู้ว่าสุดทางคือความตาย
ชีวิตที่ไร้ความหมาย จะจบ ณ ปลายทางที่รอคอย

ให้ซาเร (เฟเรล - นักพยากรณ์) แห่งผืนเพลิง

ณ ที่ทุกสิ่งพังทลาย..

ฝันเอ๋ย.. เมื่อมาถึงที่นี้ หัวใจไกลยิ่งนัก..
รวดร้าวมากมาย เจ็บจนราวจะสลายแล้ว
มิอาจเดินหน้า และมิอาจจะถอยหลังได้..
หทัยเอ๋ย.. เรายืนอยู่ท่ามกลางสิ่งใดกัน
เมื่อมองไปเบื้องหน้า ทอดสายตาไปไกลยิ่ง กลับมิอาจเห็นสิ่งใด..
ขวัญเอ๋ย.. ทุกสิ่งสิ้นลงแล้วใช่หรือไม่..
ไม่เหลือสิ่งใด ว่างเปล่าจากแต่นี้ตราบชั่วกาล..

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 05, 2552

คนเดียว..

มองไปบนฟ้า หยาดน้ำร่วงพราวดุจน้ำตา ใจของเราชาดุจไหม้ไฟ
ที่สุดแล้ว ก็มิมีใครอื่นนอกจากเราใช่หรือไม่
หลุมกว้างในหัวใจ ใครก็มิอาจเติมเต็ม
ที่สุดแล้วในโลกใบนี้ ก็มีเพียงตัวเราใช่หรือไม่
อยู่ท่ามกลางหัวใจ ที่ใครก็มิอาจกล้ำกราย
หทัยเอ๋ย.. ช่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย..
ในโลกที่กว้างใหญ่เช่นนี้ มิมีใครเลยสักคนเดียว
ความฝันไม่จริงหรอกหนา ใครก็มิอาจถมใจ
ไม่มีใครจริงๆนอกจากตัวเราเอง
ในโลกที่กว้างใหญ่เช่นนี้ มีเพียงเราคนเดียว
ที่อาจถมใจตนเอง..
ที่จะทำให้ได้เห็นโลกกว้างใหญ่ ยิ้มได้ไม่ว่าผ่านเรื่องใด
รักได้โดยไม่ต้องทำร้ายใคร
มิต้องทำร้ายตัวเอง
หัวใจเอ๋ย.. แม้จะโดดเดี่ยวยิ่งนัก
แต่เราก็จะเดินไป จะต้องเดินต่อไป
บนทาง บนชีวิตนี้
เดินเพื่อตัวเองจะได้เห็นอาทิตย์ขึ้นที่ริมขอบฟ้า
ได้จูงมือใครคนหนึ่ง ด้วยหัวใจที่ให้คนอื่นได้ทั้งใจ
..ไม่มีหลุมกว้างใหญ่ไร้ก้นบึ้งนั้นอีกต่อไป..

เจ็บ..

เขียนให้ Ciel จาก Kuroshitsuji
โลกโหดร้ายยิ่งนัก.. และเราก็ไกลกันยิ่งนัก
ยืนอยู่ได้ เป็นแต่เพียงผู้เฝ้ามอง
มิอาจแม้ยื่นมือเข้าไป มิอาจทำแม้ร่ำเรียกเป็นกำลังใจ
ได้แต่เพียงยืนอยู่ ณ ที่นี้ ไม่อาจทำสิ่งใด มองจากที่ไกล แม้ปวดใจมากมาย..

ที่เหลืออยู่สิ่งเดียว..

แรงบันดาลใจจาก Kuroshitsuji (Ciel)
เราฝากฝันเราไว้กับเจ้า
เจ้า..ย่อมเป็นผู้รู้ดีว่าชีวิตเรามิเหลือสิ่งใดอีกแล้ว
ทางที่เดินต่อไปนี้ เราฝันเพียงสิ่งเดียว
เป็นเพียงความหมายที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียว..


หลังดวงตานี้ เราเห็นแต่เพียงสีดำ
ความมืดไรที่สิ้นสุดยิ่งนัก
มองไปไม่เห็นแม้หนทาง
สิ่งที่กุมไว้ในมือนี้ มีเพียงความว่างเปล่า...

เรามิได้ทำเพื่อใคร เราทำเพื่อตัวเอง
เพื่อล้างคราบความเจ็บปวดหลังดวงตา
แม้จะต้องจมลงในความมืดอีกเท่าใด..
แปดเปื้อน และสูญเสียอีกเท่าใด
จุดมุ่งหมายมีเพียงหนึ่งเดียว และจะไปให้ถึงไม่ว่าใช้วิธีใด

เพราะเรา..

เขียนเพราะ Saber จาก Fate/Stay Night
เพราะเราใช่หรือไม่.. โลหิตจึ่งได้เจิ่งนองมากมาย...
เพราะเราใช่หรือไม่.. ผู้คนจึงต้องล้มตาย..
เสียงร่ำไห้ดังทั่วแผ่นดิน..

วันจันทร์, มิถุนายน 22, 2552

[กลอน] สวรรค์ดับ

สรวงสวรรค์ร่วงหล่นลงจากฟ้า
ตกลงมาแตกสลายมลายสิ้น
หมดเสียแล้วฝันแห่งทุกชีวิน
เหนือแผ่นดินจะไร้ฟ้าให้หวังรอ
มิต้องหวังดีเพื่อได้ไปสวรรค์
มิต้องหวังสุขนิรันดร์ที่เคยขอ