On the same path .... สองคนบนทางเดียวกัน
"เอตรา" เรากัดฟันเอ่ยชื่อเธอ "เราแยกกันเถอะ"
ทันทีที่ประโยคซึ่งทั้งตั้งใจและฝืนใจตนเองว่าจะมาพูดหลุดจากปากไป เรารู้สึกเหมือนหัวใจถูกกรีดแตกเป็นเสี่ยง ความรู้สึกทั้งเจ็บปวดและรู้สึกผิดโถมถั่งดังปริออกมาจากใจที่แตกร้าว โลกที่ปรากฏราวจะย่อยยับไป ณ ตรงนั้น เพียงเมื่อภาพแห่งความทรงจำไหลบ่าขึ้นมาหลังดวงตา
ราวกับจะตาย... แต่เราก็ยังต้องฝืนตัวเองให้ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนไม่เป็นอะไร ทั้งที่มือซึ่งกำรั้วลวดเบื้องหลังสั่นกึก แทบจะหมดเรี่ยวแรงล้มลงไปร้องไห้บนพื้นต่อหน้าเธอได้ในทุกวินาที
เจ็บ.. เจ็บเหลือเกิน.. เจ็บจนต้องก้มหน้าลง ไม่ให้เธอเห็นแววตาที่สะท้อนความรู้สึกออกมาจนหมดสิ้น
เธอ.. ก็เจ็บแบบนี้เหมือนกัน..
ไม่มีคำตัดพ้อต่อว่าหรือกระทั่งถามเหตุผล เพียงแต่มีน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงจากหางตา.. ก่อนที่จะรินลงเป็นสายราวทำนบพังทลาย เราก้มหน้าลงต่ำ ขบฟันแน่น ข่มใจตัวเองไว้ ไม่ให้ทำอะไรโดยไม่ทันคิดลงไป แม้การทำแบบนี้.. จะบอกคนอื่นได้ดีเหลือเกิน ว่าเรารู้สึกอย่างไร
แม้จะรู้ดีว่าการตัดสินอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว แม้มันจะทำให้เราเจ็บปวดกันทั้งสองคน รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดีต่อทุกคน ไม่ใช่แค่เพียงคนรอบข้าง แต่หมายถึงโลกทั้งใบ และอาจจะจักรวาลอันเวิ้งว้างนี้ด้วย แต่ว่า.. เมื่อเขาพูดออกมา.. ตัดสินใจว่าเราสองคนควรจะเลิกราจากกัน.. มันเจ็บนัก.. เจ็บเหลือเกิน..
หักใจเสีย.. อย่างไรก็ต้องผ่านตอนนี้ไปให้ได้.. เพราะว่า.. ที่สุดแล้วมันก็จะผ่านไป.. ถึงเป็นร้อยปีพันปี แต่ถึงจุดสุดท้าย ที่จุดสิ้นสุดของจักรวาล ก็จะไม่มีเราสองคนอีกต่อไป..
"เราสองคน" ไม่อาจจะ "ผ่านเรื่องร้ายไปด้วยกัน" ได้อยู่แล้ว..
เพราะเราสองคน.. เป็นคนที่เดินอยู่บนทางนี้ด้วยกันทั้งสองคน..
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเดินบนทางนี้ แต่"เลือก"ที่จะเป็นคนบางทางนี้ และเดินบนทางนี้ ทางนี้..ซึ่งจริงแล้วมิใช่ว่าใครใครก็เลือกเดินได้ ทางซึ่งจริงแล้วทรงสิทธิ์และสบายกว่าใครทั้งสิ้น มีกฏเพียงข้อเดียว กฏข้อเดียวซึ่งจริงแล้วไม่สำคัญเลยด้วยซ้ำ หากเพียงแต่จะไม่บังเอิญจนราวกับใครที่กุมชะตาทุกสรรพสิ่งขีดส่งมาให้เท่านั้น
"โลก"มีตำแหน่งหนึ่งเพื่อความแข็งแกร่งในการป้องกันตนเอง เป็นทหารยศพิเศษ ไม่ขึ้นตรงต่อผู้ใด มีหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวคือทำให้โลกผ่านวิกฤตอันรุนแรงไปได้ ตำแหน่งนี้มีเพียงสองคน แต่ละคนจะได้รับพลังและความรู้มหาศาลสำหรับหน้าที่นั้น
หากไม่มีเรื่องราวใดๆให้ต้องสะสาง ผู้อยู่ในตำแหน่งนี้จะได้ว่างตลอดปี อยู่อย่างสุขสบายทั้งครอบครัวราวชนชั้นอภิสิทธิ์ เป็นการตอบแทนตำแหน่งและพลังในตัวซึ่งไม่สามารถถอนคืนได้ กฏเพียงข้อเดียวของผู้อยู่ในตำแหน่งนี้คือจะเข้าใกล้ผู้อยู่ในตำแหน่งนี้อีกคนไม่ได้ เนื่องจากพลังอันมหาศาลจะทำปฏิกริยาซึ่งกันและกัน อาจส่งผลกระทบต่อทั้งจักรวาล แม้ไม่ใช่ว่าเพียงเดินสวนกันก็ทำไม่ได้ แต่ความเสี่ยงซึ่งประมาณมิได้นี้ทำให้ต้องระวังอย่างเป็นที่สุด สองพลังนี้ราวกับเคมีสองตัวอันมีปฏิกริยาร้ายแรงต่อกัน เพียงจะช้าเร็วเท่านั้น
เราสองคน.. คือคนสองคนที่เดินอยู่บนหนทางนั้น..
คนซึ่งไม่ควรแม้แต่อยู่ใกล้กัน กลับได้มารู้จักและรักกัน กระทั่งรู้ในท้ายที่สุดว่าเดินอยู่บนทางนี้เช่นเดียวกัน โชคดีถึงเพียงใดแล้ว ที่ปฏิกริยาของพลังอันมหาศาลนั้นยังไม่ปรากฏ ฉะนั้น.. ถึงจะรักกันสักเพียงใด เราสองคน..ก็ไม่ควรอยู่ด้วยกัน เราสองคนก็ต่างมีคนข้างหลัง.. มีครอบครัวเพื่อนฝูงคนรู้จักและอื่นๆอีกมากมาย เราสองคนได้รับอะไรมามากมาย.. ฉะนั้น ถึงจะฟังดูเป็นอย่างไรก็เถิด เราสองคนก็ควรจะปล่อยให้ความรู้สึกในใจล่องลอยไปในฝัน และเอาส่วนที่คิดถึงทุกๆคนมาใส่ไว้ในความเป็นจริงแทน
เพราะงั้น.. แยกกันนั่นแหละดีแล้ว..
"อื้อ" เรากล้ำกลืนความรู้สึก ก่อนจะบอกกับเขา "เราแยกกันเถอะ ชาลัย"
............
เรารู้จักกันตั้งแต่เกือบสามปีก่อน ทำไมเรื่องราวมันถึงได้ยาวนานถึงเพียงนั้นก็ไม่รู้
ตอนนั้น เกิดเหตุฉุกเฉิน มีแผ่นดินไหวทำให้แผ่นดินแยก หมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ริมขอบผาจมลงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว เราปฏิบัติภารกิจอยู่ห่างจากที่นั่นประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรได้ อยู่ในป่าบนเขาสูงชันกับหน่วยข่าวกรอง ลักลอบดักข้อมูลลับที่สุด เราไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นโชค เป็นเรื่องบังเอิญ หรือคืออะไร ภารกิจของเราลุล่วงไปได้โดยง่ายทั้งที่ควรมีอุปสรรคมากมายให้เราต้องทำ เรารีบรุดลงมายังที่เกิดเหตุ ไม่ห่วงว่าทางศูนย์กลางจะส่งคนที่เดินบนทางเดียวกับเราคนนั้นมาก่อนแล้ว ด้วยเราส่งข่าวว่าภารกิจเราลุล่วงไปด้วยดีไปตั้งแต่คืนก่อน
เมื่อลงมาถึง เราก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่ใช้ความสามารถทั้งหมดที่เราช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และหากมีเวลาและกำลังเหลือพอ ก็กอบกู้ทรัพย์สินและที่พักอาศัยบางส่วนขึ้นมาด้วย
เราทำงานประสานกับคนมากมาย แต่ไม่ได้สนใจเลยว่า นอกจากเราแล้วมีใครอีกบ้างที่ลงมากอบกู้ภัยพิบัตินี้ กระทั่งเหตุการณ์กลับเป็นปกติ ทุกคนได้รับการช่วยเหลือในระยะยาวอย่างน่าพึงพอใจเรียบร้อยแล้ว ทุกคนถึงลงมานั่งกินข้าวคุยกัน ล้อมโต๊ะยาวโต๊ะเดียวกัน
มีคนมากมายที่ลงมาช่วยในช่วงสุดท้าย ทั้งเพื่อซ่อมแซม สร้างใหม่ รวมถึงติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ต่างจากช่วงแรกที่มีแต่การกู้ภัย ในบรรดาผู้คนทั้งหมด เราชอบใจแนวความคิดของคนที่มักจะนั่งอยู่อีกฝั่งโต๊ะ เยื้องกับเรา เราไม่ได้สนใจอะไรกับรายละเอียดของผู้คนบนโต๊ะเท่าไรนัก แต่ว่า เมื่อใดที่เขาแสดงความคิดเห็น สิ่งที่เขาพูดนั้นช่างมีเอกลักษณ์จนเราจำได้ หากอัดเสียงมาเปิดเฉยๆโดยไม่ได้บอกว่าเป็นใคร เราเชื่อว่าเราบอกได้โดยไม่ผิดอย่างแน่นอน
ก่อนจะได้แยกย้ายกันกลับ ยังมีอะไรต้องทำอีกสองสามอย่าง เราได้คุยกับคนนั้นหลายครั้ง รู้สึกว่าเข้ากันได้ดี เราสองคนจึงแลกโค้ดไว้ติดต่อกัน และก็กลายเป็นเพื่อนกัน
เริ่มแรก พวกเราไม่ได้คุยกันบ่อยนัก แต่เมื่อเจอหนังสือ บทความ เพลง สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร หรืออะไรก็ตามที่น่าสนใจก็มักจะส่งไปแลกเปลี่ยนกัน พวกเรามักฝากข้อความไว้แทนจะคุยกันตัวต่อตัว ด้วยเวลาที่จะอยู่รับการติดต่อได้พอดีกับที่อีกฝ่ายติดต่อเข้ามานั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
พวกเราได้คุยกันอีกครั้ง ก็กว่าครึ่งปีผ่านไป เมื่อเขาส่งรายละเอียดการสัมนาชมธรรมชาติมาให้ เราว่าง เขาว่าง โดยไม่ได้นัดกัน พวกเราเจอกันที่งาน ได้คุยอะไรมากมายเพิ่มเติมจากเมื่อครั้งเกิดภัยพิบัตินัก พวกเราสนิทกันยิ่งกว่าเดิม จนตกลงจะบอกอีกฝ่ายว่าในหนึ่งสัปดาห์ใครต่างว่างเมื่อไหร่กันบ้าง เผื่อจะมีเวลามานั่งชิมอาหารแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
เราสองคนว่างตรงกันครั้งแรกเมื่อกว่าสามเดือนผ่านไป งานของเราช่วงนั้นเบาบางลงบ้าง ดูเหมือนว่าเขาก็เช่นกัน เราสองคนว่างตรงกันประมาณสองสัปดาห์ครั้ง ว่างอยู่ได้เช่นนั้นราวสี่ห้าเดือนก็กลับไปยุ่งเช่นเดิม แต่ความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนาไปมากมาย
สองเดือนถัดมา เขานัดเราทานอาหารเย็นที่เรากับเขาเคยไปชิมด้วยกันครั้งหนึ่ง เขาขอเป็นแฟนกับเรา ท่ามกลางความแปลกใจของเรา ว่าเราสองคนสนิทกันมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
เกือบหนึ่งปีครึ่ง เรากับเขาจากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้ใจกัน และพัฒนาไปเรื่อยโดยไม่หยุด กระทั่งรู้โดยไม่ต้องถามว่าอยากได้อะไร รู้สึกอย่างไร แม้นั่นจะเป็นสามปีที่ยุ่งอย่างประหลาด อย่างที่เราไม่เคยยุ่งติดต่อกันยาวนานขนาดนั้นมาก่อนนับตั้งแต่จำได้ และพวกเราก็ได้คุยกันนานๆครั้งเท่านั้น
ช่างน่าแปลกนัก ในระยะเวลาที่ยาวนานนั้น เราไม่เคยสังหรณ์ใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว...
เราไม่เคยถาม ว่าเขาทำงานอะไร เขาเองก็ไม่เคยถามเราเช่นกัน เรารู้แต่เพียงว่า เขาเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และครั้งนั้นก็ได้ลงพื้นที่มากู้ภัยเช่นเดียวกับหลายๆคนเท่านั้น
นอกเหนือจากหน้าที่ เราไม่ชอบคุยเกี่ยวกับงานของตัวเอง งานของเราไม่ใช่สิ่งที่จะบอกใครได้เท่าไรนัก เพราะอย่างนี้ เราจึงถือว่าเรื่องงานของแต่ละคนเป็นเรื่องส่วนตัว หากไม่เล่า เราจะไม่ถาม และจะไม่ไปก้าวก่ายเรื่องของใครทั้งสิ้น หากไม่ใช่หน้าที่หรือเกี่ยวข้องกับความเป็นตาย
กว่าเราจะรู้... ก็เมื่อถูกเรียกให้ไปจัดการกับงานตรวจสอบ งานนี้เคยผ่านมือคนมามากมาย เป็นงานลับที่ความรับผิดชอบไม่อยู่ในมือใครนาน การตรวจสอบย้อนหลังทำให้เราพบว่า คนบนทางนี้อีกคนก็เคยได้ทำงานนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว เราแปลกใจที่ได้เห็นลายมืออันคุ้ยเคย และเมื่อเปิดไปท้ายเอกสาร.. ก็ได้พบกับชื่อที่คุ้นเคยกำกับด้วยตำแหน่งและยศพิเศษทางการทหาร ยศที่เท่าเทียมกับเรา..
..คนที่ไม่ควรเข้าใกล้โดยเด็ดขาด..
เรารู้โดยทันทีว่าควรจะทำอะไร เราผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงมาไม่น้อย รู้ว่าเมื่อใดที่ควรตัดสินใจเฉียบขาด ลังเลมิได้แม้แต่เสี้ยววินาที เดิมพันของเรื่องนี้สูงยิ่งนัก
เราวางมือจากงาน ติดต่อไปยังโรงพิมพ์พานิชย์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง สั่งพิมพ์การ์ดเรียบง่ายหนึ่งแผ่น เขียนเพียงชื่อและยศของเรา ส่งให้เขาโดยไม่ผ่านมือเรา เราไม่กล้าเขียนจดหมาย ไม่กล้าส่งข้อความไปให้เขาตรงๆ เราไม่อยากเสี่ยงกับอะไรทั้งสิ้น..
..เดิมพันครั้งนี้สูงเกินไป..
เราไม่เคยรู้สึกตัวว่าเรารักเขา เพียงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เข้ากับเราได้ดี เข้าใจเราเสมอมา แต่ว่า เมื่อเราวางปากกาในมือลงหลังจากลงชื่อในที่สุดท้ายเสร็จ เรารู้สึกเหนื่อย.. เหนื่อยเหลือเกิน..
งานตรงหน้านี้ไม่ใช่งานด่วน ทว่า เราก็รีบทำ หมกมุ่นอยู่กับมันราวกับต้องการจะหนีจากอะไร เราไม่อยากให้ตัวเองว่าง เรากลัวความรู้สึกของตัวเอง กลัวว่าเราจะคุมตัวเองไม่ได้ จะทำความสูญเสียมหาศาลเพียงเพื่ออารมณ์วูบเดียวของตัวเอง..
เรารู้สึกเจ็บแปลบอย่างแปลกประหลาด.. เจ็บ..จนกลัวเหลือเกิน..
..........
ตอนที่เรากลับมาถึงบ้าน มีการ์ดสีขาวเรียบง่ายวางอยู่บนโต๊ะ เราหยิบมาพลิกดูอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่แล้วกลับรู้สึกราวกับว่าลมหายใจหยุดกึกลงทันที
บนการ์ดนั้นมีตัวอักษรสีสวยเล่นหาง บรรทัดแรกเป็นชื่อเต็มของคนที่เรารู้สึกดีด้วย ส่วนบรรทัดล่าง เป็นยศพิเศษทางการทหารที่เหมือนกับของเราไม่ผิดเพี้ยน
ยศที่มีเพียงสองคน.. สองคนที่ไม่ควรแม้แต่จะอยู่ใกล้กันในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ในเวลาเดียวกัน... สองคนที่ส่วนกลางควรจะแยกไว้คนละมุมโลก...
เราสองคน.. เจอกันได้ยังไงกัน...
เราทรุดลงบนเก้าอี้โดยแทบไม่รู้สึกตัว ในใจนิ่งงงงัน ชาไปหมด
รู้..ว่าควรจะทำอะไร แต่ว่า..ก็ยังอยากเจอเธออีกครั้งหนึ่ง อยากบอกลา..เป็นครั้งสุดท้าย
..........
ลมหนาวพัดมา ยะเยือกเย็น แต่ไม่หนาวเลย สำหรับคนที่ผ่านอากาศเลวร้ายมาหลายครั้งแล้วอย่างเราสองคน
ต้นไม้โยกไปตามกระแสลม ไปไม้แห้งกรอบร่วงคว้าง สวนสาธารณะชานเมืองแห่งนี้ว่างเปล่า เงียบไร้คน
เราสองคนยืนห่างกันไม่น้อยเลย แม้จะยอมตามใจตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงอยู่ดี
ไม่กล้ามองหน้ากัน.. เพราะกลัว... กลัวไปหมดทุกอย่าง..
เขาขอเรา ให้เขาเป็นคนพูดเอง ให้เขาเป็นคนบอกลา ตัดขาดกัน ให้เขาได้ทำเพื่อเรา... เจ็บปวดแทนเรา.. ในครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เป็นคนเคยคุ้นกัน..
ให้เหมือนกับว่าเขาเป็นคนตัดสินใจ.. แม้เราจะตัดสินใจเหมือนกันก็ตาม...
“เอตรา" เขากัดฟันเอ่ยชื่อเรา "เราแยกกันเถอะ"
วันจันทร์, สิงหาคม 03, 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น