THE HORIZONTAL LINE ขีดคั่นเขตฟ้า
โดย รติ
..เราหรืออาจอำนาจเยี่ยมแผ่นฟ้า
มิอาจฝ่ากรอบเส้นขีดขวางได้
แม้ความรักคุพล่านท่วมจิตใจ
ก็ว่าใช่อาจก้าวไปหาเธอ..
“วิวรรณ.. ผมไม่ได้คุยกับคุณจะครบหนึ่งปีแล้วนะ.. คุณจะไม่ตอบอะไรผมบ้างเลยหรือ...”
ถ้อยความที่ชายหนุ่มส่งให้หญิงสาว เมื่อแรกยังคงถี่ราวกลัวจะไม่ถึงมือ แต่เมื่อบนซองที่ถูกส่งคืนตีตรา'ไม่สามารถติดต่อผู้รับได้'มาทุกครั้ง จดหมายที่จ่าหน้าซองเช่นเดิมก็ค่อยทิ้งระยะลงทุกที
..ไม่สามารถติดต่อผู้รับได้.. สำหรับผู้ที่มีตำแหน่งการงานสูงพอสมควร ความนี้อาจตีได้ทั้งผู้รับนั้นไม่ว่าง หรือกระทั่งจดหมายนั้นๆถูกปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“วิวรรณ..วิวรรณ.. ผมรักคุณขนาดไหน คุณเองก็รู้ไม่ใช่หรือ ตัวคุณเองก็รักผม แม้คุณจะมีงานยุ่งล้นมือ แต่การที่จดหมายที่ผมพยายามติดต่อคุณทุกฉบับถูกส่งกลับมาพร้อมข้อความว่าติดต่อคุณไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าคุณเห็นอย่างอื่นสำคัญจนลืมผมแล้วหรือไร..” ชายหนุ่มรำพันกับตนเอง
“ทั้งๆที่ตำแหน่งของผมอยู่ใต้การบังคับบัญชาของคุณ ขึ้นตรงกับคุณโดยเฉพาะ ผมไม่อยู่ใต้ใครอื่นทั้งสิ้นเว้นแต่คุณเท่านั้น เราอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ แต่ทำไมคุณถึงเหินห่าง ช่องว่างระหว่างเรากว้างไกลราวอยู่คนละโลกเช่นนี้..
ก่อนหน้านี้คุณกับผมเคยมีความสุขมากเพียงใด แค่เพียงชั่วพริบตาที่คุณรับภาระหน้าที่ใหม่..ตำแหน่งที่ผมไม่มีวันก้าวตามคุณไปถึง.. คุณก็เปลี่ยนไป ห่างเหินเย็นชากับผมราวกับเป็นคนแปลกหน้า ราวกับว่าเราไม่เคยแม้จะพบหน้า คุณไร้หัวใจได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือไร..”
เมื่อจดหมายทุกฉบับไม่อาจส่งถึง ชายหนุ่มจึงมุ่งหาหนทางอื่น เขาทำทุกวิธี ทุกทางที่เขาทำได้ ใช้อำนาจและความสามารถทุกสิ่งที่เขามี อ้อนวอนเกลี้ยกล่อมชักจูงทุกคนที่เขาพบ แต่ทุกสิ่งนั้นก็ล้วนไร้ผลเช่นเดียวกับกองจดหมายที่ถูกตีกลับนั้น
จนวันหนึ่ง.. คงมีใครได้ยินคำตัดพ้อพร่ำรำพันของเขากระมัง คนจากตระกูลใหญ่ของหญิงสาวจึงมาหาเขา นัดแนะเขาให้เข้าพบผู้นำตระกูล
“คุณรัชชา” หัวหน้าตระกูลนั้นเอ่ยขึ้น “คุณเองรับราชการ กินตำแหน่งสูง แม้ไม่ใช่ในสายการเมือง แต่ดิฉันไม่คิดว่าคุณจะไม่ทราบสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันนี้” เธอว่า “คุณควรทราบดี สถานะของวิวรรณในขณะนี้เป็นเช่นไร ดิฉันเรียกคุณมาพบในวันนี้เพื่อจะบอกคุณไม่ให้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิวรรณอีก ในขณะนี้สิ่งที่คุณได้กระทำลงไปยังไม่มีผลใดให้เห็นได้ชัดนัก แต่หากคุณยังจะทำเช่นนี้ต่อไป การกระทำของคุณจะส่งผลให้สมดุลทางการเมืองของเราเสียหาย วิวรรณซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่เปราะบางจะมีผลกระทบโดยตรงเป็นคนแรก”
“ขอโทษเถิดครับ” ชายหนุ่มแย้ง “ผมไม่คิดว่าการที่ผมหยุดการกระทำทุกอย่างโดยสิ้นเชิงอย่างที่คุณว่ามาจะเป็นผลดี”
“ไม่เป็นผลดีอย่างไรหรือ คุณรัชชา?” เธอถามกลับ
“นี่ไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่ายไม่ใช่หรือครับ? ย่อมจะมีทางอื่นที่ดีกว่านี้ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งฝ่ายของคุณ วิวรรณ และรวมถึงผมด้วย แม้จะยังมองไม่เห็นในตอนนี้ แต่เราทุกคนก็ช่วยกันคิดได้ไม่ใช่หรือครับ?” เขาเสนอ
“ไม่มีทางที่ดีอย่างในอุดมคติเช่นนั้นหรอกค่ะคุณรัชชา เราทุกคนทราบดีและควรจะยอมรับความจริงในข้อนี้” เธอปฏิเสธสิ่งที่เขาพูด “เราทั้งตระกูลล้วนตระหนักดีถึงจุดยืนบนสถานะอันเปราะบางของตำแหน่งนี้ แม้บุคคลทั่วไปเองก็ควรทราบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะวิวรรณ เธอย่อมรับรู้แน่ชัดถึงหนทางเบื้องหน้าเมื่อเธอรับจะก้าวขึ้นยังตำแหน่งนั้น ทางซึ่งหากเกิดความเสียหายขึ้นเมื่อใดก็ตาม ความเสียหายนั้นจะเป็นความเสียหายของส่วนรวม มิใช่ของคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้น”
“ผมไม่เชื่อว่าไม่มีหรอกครับ” ชายหนุ่มดึงดัน “หากเป็นการร่วมมือของทุกคน แม้สิ่งที่ยากจะมีจริงเท่าไรก็มีขึ้นได้”
“คุณจะดึงดันเชื่อมั่นเช่นนั้น ดิฉันหรือใครก็ไม่อาจห้ามคุณได้หรอกค่ะ แต่ต้องบอกให้คุณเข้าใจไว้ด้วยว่า เพื่อส่วนรวม เราจะยับยั้งการกระทำอันจะส่งผลเสียต่อวงกว้างของคุณ”
การสนทนาสิ้นสุดลง ณ ตรงนั้น ชายหนุ่มได้รับการเชื้อเชิญอย่างนิ่มนวลให้ออกจากห้องที่ใช้ในการพูดคุย
“ไม่หรอก ถ้ายอมฟัง ยอมคิด อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น” ชายหนุ่มพร่ำพึมพำกับตนเองเช่นนี้ตลอดเวลา และยิ่งนานวันเข้า เขาก็ยิ่งคิดมาก พาลผิดหวังในทุกคนว่าช่างไม่ยอมคิดแม้สิ่งใด เขาพลอยหวนนึกไปถึงวิวรรณ สงสัยขึ้นมาว่าเธอยอมให้สิ่งรอบตัวบีบรัด ไม่ยอมคิดหาหนทางใดใดเช่นเดียวกับคนอื่นหรือ มิฉะนั้นใช่เธอหมดรักเขาแล้วหรือไรกันแน่
กระทั่งในที่สุด เขาก็มีโอกาสเข้าถึงเธอได้ เมื่องานที่เธอจะมาเป็นงานของหน่วยงานเขา และแม่งานนั้นคือเขาเอง
ยามสบโอกาส เขาส่งสัญญาณให้เธอ เพื่อสื่อสารว่าต้องการจะคุยกับเธอ จากสายตาที่แลมาทางเขานั้น เขารู้ว่าเธอเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ในที่สุดแล้ว เธอก็มิได้แม้แต่เข้ามาใกล้เขา กระทั่งงานสิ้นสุด เธอก็กลับไปเช่นเดียวกับขามา นั่นคือไม่แม้แต่จะเหลือบมองเพียงแวบเดียว ท่าทีทั้งหมดของเธอช่างเย็นชา ทำให้เขาสรุปให้ตนเองได้ในทันใด ว่าเธอนั้นหมดรักเขาแล้ว ง่ายดายราวเด็กที่เบื่อของเล่น บ่งบอกว่าเธอช่างไร้หัวใจ
เขาผิดหวัง ผิดหวังสุดที่จะเยียวยา ผิดหวังทั้งในผู้คนซึ่งไม่ยอมคิด แม้จะฟังเขาว่าความคิดช่างทรงพลังมหาศาลเพียงไร และผิดหวังที่สุดคือเธอ ที่เธอสะบั้นเยื่อใยเขาได้รวดเร็วสิ้นดี
เช่นนี้... ชายหนุ่มจึงเก็บกระเป๋า เขาไม่รู้ว่าจะอยู่เมืองกรุง แดนฟ้าศิวิไลซ์นี้ไปอีกเพื่อเหตุผลใดกัน จากไปเสียดีกว่า จากไปโดยไม่กลับมายุ่งเกี่ยวกับโลกอันน่าผิดหวังนี้อีกเลย ...ตลอดกาล..
ฉันยังจำทุกสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตได้ดี วัยเด็กอันเข้มงวดซึ่งเป็นรากฐานในชีวิต การศึกษาซึ่งพัฒนาต่อยอดเป็นความสามารถ ชีวิตการทำงานอย่างสมบุกสมบันในช่วงแรกซึ่งสร้างความอดทนและทำให้หนักเอาเบาสู้ และฉันก็ยังจำได้ เมื่อฉันก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงตำแหน่งหนึ่ง และได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขในแบบของคนมีความรัก
ฉันพบเขาครั้งแรกเมื่อฉันลงพื้นี่เก็บข้อมูลในชนบท เป็นการกรำงานหนักครั้งสุดท้ายก่อนฉันจะกลับกรุงและก้าวเข้าสู่แวดวงข้าราชการฝ่ายบริหาร เขาเป็นนายอำเภอที่มีหัวคิดทันสมัยกว่าข้าราชการท้องถิ่นส่วนใหญ่ แม้เขาจะไม่เคยเดินทางไกลไปศึกษาถึงในกรุงแต่ความคิดหลายๆอย่างของเขาดีไม่แพ้คนกรุงชั้นหัวกะทิเลยทีเดียว ฉันชื่นชมคุณลักษณะเช่นนั้นของเขา ต้องการให้ข้าราชการท้องถิ่นทุกคนรู้จักคิดเช่นเขา
ตลอดระยะการทำงาน ฉันได้พูดคุยและถกเรื่องในหัวข้อต่างๆมากมายกับเขา การแลกเปลี่ยนความเห็นกันเช่นนี้ทำให้เราสนิทกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่องานของฉันเสร็จเรียบร้อย เราก็สามารถคุยกันได้ในสารพัดเรื่องอย่างเพื่อนคนหนึ่งแล้ว
ฉันรู้สึกแปลกใจ เมื่อฉันบอกเขาว่าฉันจะกลับกรุงแล้ว เขาผู้มุ่งมั่นทำงานเพื่อบ้านเกิดกลับบอกฉันว่า เขาจะเข้าไปทำงานในกรุง อันหมายถึงการละทิ้งสิ่งที่ทำเพื่อบ้านเกิดขณะนั้นไว้เบื้องหลังเพื่อฝากความหวังไว้กับอนาคตราวคนไปตายเอาดาบหน้า
เมื่อกลับถึงกรุง ฉันกลับตระกูลและได้เริ่มงานบริหารในตำแหน่งซึ่งเหมาะสมกับความสามารถพื้นฐานของตนเองในทันที ฉันใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการศึกษางาน แล้วก็จมดิ่งสู่งานนั้นอย่างเต็มตัว เวลาของฉันไหลผ่านไปเรื่อยพร้อมตำแหน่งที่ถูกขึ้นให้ตรงกับความถนัดและท้าทายความสามารถยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เวลาเหล่านั้นฉันอยู่แต่กับงานเท่านั้น แทบไม่ได้ติดต่อกับใครๆซึ่งไม่เกี่ยวกับงานที่ทำเลย
วันหนึ่ง ฉันพบบัตรเชิญที่แปลกตาวางอยู่บนโต๊ะทำงาน บัตรเชิญใบนั้นเขียนด้วยลายมือ เชิญฉันไปทานอาหารในฐานะที่เจ้าของบัตรเชิญนั้นได้เลื่อนตำแหน่งในแวดวงราชการ บัตรนั้นเชิญฉันแต่เพียงคนเดียวด้วยเหตุผลว่าฉันเป็นเพ่อนที่เขาอยากเฉลิมฉลองด้วยเป็นพิเศษ บัตรเชิญนั้นลงชื่อว่ารัชชา อดีตนายอำเภอที่มีหัวคิดทันสมัยคนนั้นน่ะเอง
ระหว่างทานอาหารมื้อนั้น เราไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันอย่างคนที่ไม่ได้พบปะกันมานานพอสมควร ได้พูดคุยในเรื่องต่างต่างนานา จนอาหารจานหลักทั้งหมดถูกเก็บลงจากโต๊ะ พักระยะชั่วครู่ก่อนอาหารหวานจะขึ้นเสริฟ เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มองหน้าฉัน แล้วก็เอ่ยขึ้นมาว่า “วิวรรณ ผมรักคุณครับ” จากนั้นเขาก็เล่าความรู้สึกของเขานับแต่พบฉันให้ฟัง
เขาบอกว่า เขาเริ่มรักฉันตั้งแต่เรารู้จักกันที่ต่างจังหวัด เมื่อฉันบอกเขาว่าจะกลับกรุง เขาตัดสินใจเข้ากรุงเพื่อรับราชการพิสูจน์ตนเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแม้แต่งานซึ่งเขาอุทิศให้ เมื่อมาถึงกรุง ขณะที่ฉันกลับตระกูลและเริ่มงานของตนเอง เขาก็เข้ารับราชการเช่นกันในอีกสายงานหนึ่งซึ่งไม่มีอิทธิพลต่อการเมือง เขาทุ่มเทความสามารถทั้งหมดเพื่อไต่ระดับขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูง เพื่อไล่ตามฉันและเพื่อใช้แสดงให้ตระกูลของฉันซึ่งเป็นข้าราชการบริหารระดับสูงสืบต่อกันมานานเห็นว่าเขาไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก
จนถึงวันนั้น.. ที่เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งซึ่งทัดเทียมกับฉันในขณะนั้น ตำแหน่งซึ่งมิใช่ว่าใครที่ไหนก็ขึ้นไปได้
เวลานั้นแต่นั้นเอง.. ที่ฉันได้มีความสุขอย่างคนมีความรัก มีที่ว่างและมีเวลาสำหรับสิ่งที่ไม่ใช่งาน..
หลังจากนั้นไม่นาน คนทั้งประเทศก็ได้รับข่าวร้าย กษัตริย์พร้อมเจ้าฟ้ารัชทายาทสิ้นพระชนม์พร้อมกันด้วยอุบัติเหตุ ตามกฏมนฑียรบาลจึงต้องมีการจัดรายนามผู้มีสิทธิสืบบัลลังก์ซึ่งมีอยู่ไม่มากนักเพื่อคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นที่สุด ผู้ที่ได้รับเลือกจากรายนามเหล่านั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้รับการตัดสินว่ามีทั้งคุณวุฒิและความสามารถเหมาะสมที่สุด เธอเป็นบุตรีของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงพระองค์หนึ่งผู้ลงมาเป็นสามัญชนใต้ชายคาตระกูลใหญ่ซึ่งเป็นข้าราชการมาทุกยุคสมัย ผู้หญิงคนนั้นชื่อวิวรรณ คือฉันเอง
ฉัน รวมถึงทุกคนในตระกูล ตระหนักรู้มาตลอดว่าสมดุลทางการเมืองในปัจจุบันไม่มั่นคงเท่าใดนัก ตัวเชื่อมจุดเพียวที่ค้ำจุนมาตลอดคือพระมหากษัตริย์ แม้ก่อนหน้านี้ทั้งหมด พระองค์จะทรงจัดการดูแลโครงสร้างการเมืองให้แข็งแรงแน่นหนาขึ้น แต่เมื่อพระองค์ผู้เป็นศูนย์รวมสิ้นพระชนม์ไปโดยกระทันหันเช่นนี้ สภาวะการเมืองก็เป็นดังบ้านที่ยังซ่อมไม่เสร็จ คงค้างคาอยู่ครึ่งๆกลางๆ แต่ผู้คุมการทั้งหมดล้มหายตายจากไปเสียก่อน ความคาดหวังทั้งหมดจึงถูกเทลงให้คนที่มาแทน ตำแหน่งซึ่งฉันเป็นผู้ถูกเลือกนี้จึงกุมอยู่บนความเปราะบางอ่อนไหว ต้องรับมือกับความคาดหวัง และต้องประคองบ้านอันเปรียบเป็นระบบการเมืองหลังนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ ต้องพิสูจน์ตนเองเพื่อความเชื่อถือท่ามกลางหน้าที่และความรับผิดชอบมหาศาลที่จะกดทับลงบนบา ย้ำเตือนอยู่ทุกเวลา
หากรับตำแหน่งนี้ ถ้าจะทำให้ได้ดี สิ่งแรกที่ต้องทิ้งคือการคิดถึงแต่ตัวเอง
นับแต่เด็ก สิ่งสำคัญที่ถูกปลูกฝังมาตลอดและถ่ายทอดทางสายเลือด คือความรับผิดชอบและการคำนึงถึงส่วนรวมเสมอ คนที่เป็นข้าราชการ ยิ่งโดยเฉพาะฝ่ายบริหารบ้านเมืองระดับสูง จะต้องทำเพื่อประเทศเพื่อคนอื่นทั้งหมด ไม่ใช่เพื่อตนเองคนเดียว
ด้วยคำเหล่านี้ ฉันจึงตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย ฉันเลือกที่จะทิ้ง “วิวรรณ” ที่เป็นปุถุชนไว้เบื้องหลัง ที่จะก้าวขึ้นและนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงอันเปราะบางที่สุดจะมีแต่ “วิวรรณ” เพื่อส่วนรวมเท่านั้น
...ไม่มีอะไรสำคัญเท่าส่วนรวม..
...ฟ้าย่อมมีเส้นขีดขวาง
คั่นทางด้วยแบ่งเขตไว้
หากแม้ขวากหนามฝ่าได้
ฤๅใช่อาจเยี่ยมนภา..
.... จบ ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น