หยาดวรุณโรยรินลงเป็นสาย แต่ไหนเล่า จักอาจเทียมเทียบชลนัยน์อันหลั่งอยู่โดยมิให้ผู้ใดได้ยล
บางคราข้าเฝ้าเพียรถาม ว่าข้านั้นผิดหรือเช่นไร ข้าจึงมิอาจสมหวัง มิอาจเอื้อมคว้าสิ่งซึ่งอยู่เบื้องหน้ามาประคอง ทะนุถนอมไว้ได้ และด้วยเหตุใดสังคมจึงขีดกั้น เหตุใดจึงต้องขวางเราไว้ด้วยสายใยวัฒนธรรมบางๆอันไม่อาจข้ามได้โดยง่าย
........................
เราลืมตาขึ้น สัมผัสได้ถึงบรรยากาศตอนเช้าที่คุ้นเคย สายตาพลันทอดเห็นนาฬิกาสี่เหลี่ยมขาวใสที่เรืองแสงได้ เลขตัวใหญ่บอกว่าตอนนี้แปดโมง
เราลุกขึ้น หยุดเลือกเสื้อผ้าหน้าตู้ แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปด้วยอาการที่ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ แทนที่จะอาบเร็วๆเหมือนอยากให้เสร็จเร็วๆอย่างเคย กลับพิถีพิถันกับรายละเอียดมากมายที่ไม่เคยสนใจ จนน่าคิดได้ว่า วันนี้พายุลูกเห็บอาจจะถล่มเมืองฟ้ากรุงเทพก็เป็นได้
นาฬิกาลูกบาศก์น่ารักเรือนเดิมที่ต้องแสงแดดสดใสบอกเวลาเก้าโมง เราแขวนตากผ้าเช็ดตัวไว้กับราวเดิม โยนชุดนอนลงตะกร้าผ้ามุมข้างตู้ แล้วคว้าหวีกับแว่นตาเดินไปหน้ากระจกบานยาว
จนกระทั่งนาฬิกาข้อมือส่งเสียงเตือนบอกเวลาสิบโมงตรงนั่นแหละ ถึงได้มาอยู่ที่ป้ายรถเมล์ และโดยที่ไม่ต้องรอนานนัก รถเมล์ไม่ปรับอากาศก็วิ่งมา เรากระโดดขึ้นบันไดสามสี่ขั้นขึ้นไปหาที่นั่งใกล้ๆนั้นด้วยความเคยชิน ก่อนจะปล่อยความคิดไปกับทิวทัศน์ที่เลยผ่านไปเมื่อรถออกวิ่ง
สิบโมงสี่สิบ สายไปสิบนาทีอีกแล้ว เราวิ่งวนอย่างรีบเร่งไปตามชั้นหนึ่งภายในห้างใหญ่ที่คนพลุกพล่าน ก่อนจะผ่อนฝีเท้าลงพักเหนื่อยหน้าร้านหนังสือ
ถ้านัดกันที่ร้านหนังสือ ก็เป็นที่ซึ่งเราจะหาเพื่อนรักที่โทรตามมาก่อนได้ง่ายๆ เราเดินอ้อมชั้นหนังสือหลายชั้น เหลือบมองดูความเคลื่อนไหวที่สนองตลาดนิยายวัยรุ่นส่วนมากหน่อยนึง ก่อนจะหยุดลงข้างๆเด็กสาวที่ก้มหน้าก้มตาอ่านนิยายสืบสวนเล่มใหญ่อยู่นิ่งๆ
"อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่!"
น้ำเสียงที่เหมือนทั้งตกใจและประหลาดใจแบบนี้เราได้ยินจนชิน จนหลังๆ เราคิดว่าคงพูดจนชินกลายเป็นนิสัยไปแล้ว
เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู บ่นต่อว่า
"สายไปสิบห้านาที"
เราตอบอะไรไม่ได้ นอกเสียจากยอมรับผิดแล้วเปลี่ยนเรื่อง
"จะไปกันเลยรึเปล่า?"
"อืม" เธอตอบรับเพียงในคอ พลางค่อยๆวางหนังสือคืนลงบนชั้นอย่างเบามือ
เราสองคนเดินออกจากร้านหนังสือ แล้วก็ขึ้นลิฟต์ไปบนชั้นต่างๆ เพื่อหาที่เงียบๆ สงบๆ นั่งกัน
วนจนทั่ว สุดท้ายก็เลือกร้านที่ชั้นแรก ไม่ไกลจากร้านหนังสือนั่นแหละ
"คิดออกรึยังน่ะ ว่าจะพูดเรื่องอะไร" เธอยิงคำถามใส่ พลางเติมน้ำตาลลงในกาแฟ พร้อมๆกับที่เรานั่งจิบโกโก้ร้อน
เราถอนหายใจเบาๆ เรื่องนี้เราคิดแล้วคิดอีก วนเวียนอยู่ในหัวตั้งหลายวัน สุดท้ายก็อดหนักใจไม่ได้ เราพยายามคุมความคิดให้เป็นปกติที่สุด พูดออกมาเรียบๆเท่าที่จะทำได้
"ที่จริง...." เราหยุด หายใจเข้าออกลึกๆเพื่อควบคุมตัวเอง เรารู้ว่าเธอเห็นอาการผิดปกตินั่น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"เราชอบโมโมะ"
เราเห็นแววแปลกประหลาดฉาบไปทั่วใบหน้าเธอ เป็นยิ่งกว่าคำว่าแปลกใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงขนาดตะลึง
เราก้มหน้าลงจิบโกโก้ ช้าๆ พร้อมกับที่เธอจิบกาแฟด้วยอาการใกล้เคียงกัน ความเงียบที่เราเกรงกลัวปกคลุมไปทั่ว
"ถ้าไม่ได้ชอบอะไรบางอย่างในตัวอีกฝ่าย ก็คงไม่สนิทกันมาได้ตลอดสามปีหรอก" เธอพูดขึ้นก่อน ช้าๆ ชัด แต่เบายิ่ง
เรายิ้มบางๆ คิดในใจว่าถ้ามันเป็นแค่นั้นจริงก็คงดี...
"แต่เผอิญว่า เราชอบทุกอย่างในตัวโมโมะ"
"ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรตรงไหนนิ"
"ถ้างั้น..เราก็คงต้องบอก..." เรารู้สึกได้ว่า แววตาเราฉายความเศร้าชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
"ว่าเรา..รักโมโมะ มากกว่าเพื่อน"
เรารู้สึกเหมือนต้อนเธอให้จนมุม แววตาของเธอฉายชัดถึงประกายอย่างหนึ่ง ที่เรามองแล้วเหมือนกำลังถูกถามว่า เราต้องการอะไรกัน...
ความเงียบที่น่ากลัวเข้าปกคลุมอีกครั้ง คราวนี้เนิ่นนาน ราวกับว่าตัวตนของแต่ละคนที่ถูกชักเข้าไปติดอยู่ในความคิดของตัวเอง จะไม่ออกมาทำลายความเงียบนี้จนชั่วนิรันดร์
ใจเราท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกผิด มันแน่นหนักราวกับจะกดทับเราให้ตาย
เราละเลียดโกโก้ในแก้วให้หมด พร้อมกับเธอเช่นกัน แล้วค่อยจ่ายเงิน เดินออกจากร้าน ออกจากห้าง ข้ามสะพานลอยไปรอรถเมล์ที่ป้ายฝั่งตรงข้ามด้วยกัน ภายใต้ความเงียบ คำพูดที่เคยไหลลื่นอย่างปกติ กลับแปรเปลี่ยนเป็นความตะขิดตะขวงใจที่จะพูดออกมาอย่างแปลกประหลาด
"แล้วเจอกันนะ" เราพูดออกมาได้แต่คำนี้ ตอนที่เธอขึ้นรถเมล์ไป
........................
'สวัสดี'
เราทักเข้าไปตามปกติเมื่อเห็นเธอโผล่เข้ามาในเอ็มเอสเอ็น เมซเซนเจอร์ แล้วข้อความสวัสดีต่างสีอีกอันก็โผล่ตอบเราขึ้นมา
แต่จากนั้น เราก็นิ่งงัน ไม่รู้จะโต้ตอบอะไรไปดี
แต่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่เธอเป็นผู้ทำลายความเงียบนั้น แม้จะด้วยประโยคที่สั้นและยังให้ความรู้สึกแปลกแปร่งหลงเหลือ
'เราต้องขอโทษยุเรื่องเมื่อวันก่อน คือเราไม่รู้จะพูดอะไรดี นึกไม่ถึงว่ายุจะคิดถึงเราแบบนั้น หัวมันมึนไปหมด'
'อือ' เราตอบกลับไป
'เป็นความผิดเราด้วยแหละ ที่พูดจนโมโมะเหมือนถูกบีบจนมุม เหมือนเราคาดคั้นโมโมะมากเกินไป'
อย่างน้อย พอได้คุยกันยาวๆ อะไรบางๆที่ขวางกั้นพวกเราสองคนไว้ก็แตกลง
'เอ้อ แล้วทำไมวันนี้ออนดึกผิดปกติล่ะ ปกติเห็นนอนเร็ว' เราถามอย่างเป็นธรรมชาติขึ้น
'เราอยากคุยกับยุ' สั้นๆ แต่เราค่อนข้างมั่นใจได้เลย ว่าเพียงเท่านี้ กลับมีความหมายมหาศาลสำหรับเธอ
'เรื่องอะไรล่ะ?' เราถามออกไป ทั้งๆที่ก็พอรู้อยู่ในใจ
'เรื่องแรกก็ขอโทษนั่นแหละ' เราเริ่มเห็นภาพของเธอที่เราเคยชินมาตลอด
'ส่วนอีกเรื่อง เราเข้าใจว่ายุอยากได้คำตอบ'
'อือ' เราตอบรับ
'เราเดาไม่ออกว่าพอตอบไปแล้วยุจะทำหน้ายังไง แต่นี่คือสิ่งที่เรารู้สึก
เราคงเป็นอะไรกับยุมากกว่าเพื่อนสนิทที่สุดไม่ได้"
'อือ เราเข้าใจ' เราตอบด้วยความรู้สึกจริงๆของตัวเอง แม้จะแปลกใจ
'เรารู้ว่าโมโมะเป็นคนปกติ ไม่เหมือนเรา แต่แค่ได้บอกเราก็สบายใจขึ้นเยอะแล้วล่ะ ห่วงก็แต่โมโมะนั่นแหละ บอกแล้วคงไม่พาลกลัวเราไปหรอกนะ'
'เออ ไม่กลัวหรอก ก็แค่แปลกขึ้นกว่าเดิมอีกไม่เท่าไหร่ เรารับได้' เรายิ้มกว้างอยู่คนเดียว แบบนี้สิ ถึงเป็นเธอที่เรารู้จักจริง และคนนี้แหละที่เราชอบ แคร์คนอื่น แต่ไม่ลืมแคร์ตัวเอง ถ้าคำตอบอะไรไม่ใช่แบบนี้ เราคงไม่เป็นสุขอย่างนี้ แต่กระนั้นเราก็ไม่แน่ใจ ว่าสักวันสุขที่ได้เห็นเพื่อนเป็นเพื่อนคนปกติอย่างที่เราชอบ วันนี้จะเหมือนถูกช่วงชิงไปรึเปล่า...
เพราะไม่ว่ายังไงแล้ว ...เราก็รักเธอยิ่งกว่าเพื่อนอยู่ดี...
........................
บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจตัวเองเป็นอย่างมาก ทั้งที่ก่อนหน้าจะได้พูดออกไป กลับกลัว คิดโน่นนี่นั่น เจ็บปวดทั้งกับการคาดเดาของตัวเองและพันธนาการอะไรมากมายที่คิดสรรค์ไปเอง เรากังวลจนฝันเห็นตัวเองร้องไห้ซะด้วยซ้ำ
คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็แปลก ทั้งๆที่ผลออกมาเหมือนกัน แทนที่เราจะเป็นจะตายเอาให้ได้เหมือนในฝันหรือที่กังวลไว้ กลับดีใจ มีความสุขอยู่ลึกๆซะอย่างนั้น
แต่มันก็ดี... อย่างน้อยก็เป็นการดีสำหรับทั้งเรา และ เธอ