วันพุธ, ธันวาคม 27, 2549

ชลนัยน์นั้นหลั่งริน...

ค่ำคืนนั้น.. กลางรัตติในเมืองอันฟ้ามิเคยมืดสนิท นคราอันเขาเอื้อนเอ่ยนาม ธานีแห่งเหล่าเทพา
ชลนัยน์หนึ่งหลั่งรินลง.. เราร่ำไห้แด่ผู้เป็นที่รักยิ่งนัก...

หัตถ์แห่งเรานั่นเอง.. คือผู้ขีดชะตากรรม คือผู้ลิขิตซึ่งทุกข์ เศร้าหม่นเจ็บปวดทั้งปวง...
หัตถ์แห่งเรานั่นเอง.. คือผู้อาจเปลี่ยนแปรทุกสิ่งสรร อาจบันดาลทุกสิ่งอัน อาจผันชีวิต...

สรรค์สร้างแล้วทอดทิ้ง.. ยัดเยียดซึ่งชีวิตอันโศกศัลย์ให้...

แต่ในค่ำคืนหนึ่ง ..กลับร่ำไห้ให้...

..กลับเอ่ยร่ำพร่ำบอก เรารักท่าน... ราชอมิเนต์...


Ninja!


ท่านเอย... จักมีฤๅไม่.. วันใดอาจอภัยให้เรา...

ชีวินอันไร้ผู้รักยิ่ง..
ชีวินอันแม้เพื่อนก็แทบมิมี...
ชีวินอันหัตถ์เรากลั่นแกล้งอย่างโหดร้ายนัก...
ชีวินอันมิมี.. ผู้ใดอาจขับขานบนเพลงนี้มอบให้ได้...

Ayumi Hamasaki - Moments



เราสงสารท่านเหลือเกิน.. ผู้เป็นทุกข์ด้วยหัตถ์แห่งเรา....

เราผิดต่อท่าน.... ราชอมิเนต์

วันจันทร์, พฤศจิกายน 27, 2549

อา...

อา...
โลก.. จงก้าวเดิน..
ชีวิต... จงมิหยุดนิ่ง..
กาล.. จงผันแปร..
เพลิง.. จงเผาผลาญ..

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 26, 2549

[Yuri ไม่เรท] ความรู้สึก

หยาดวรุณโรยรินลงเป็นสาย แต่ไหนเล่า จักอาจเทียมเทียบชลนัยน์อันหลั่งอยู่โดยมิให้ผู้ใดได้ยล

บางคราข้าเฝ้าเพียรถาม ว่าข้านั้นผิดหรือเช่นไร ข้าจึงมิอาจสมหวัง มิอาจเอื้อมคว้าสิ่งซึ่งอยู่เบื้องหน้ามาประคอง ทะนุถนอมไว้ได้ และด้วยเหตุใดสังคมจึงขีดกั้น เหตุใดจึงต้องขวางเราไว้ด้วยสายใยวัฒนธรรมบางๆอันไม่อาจข้ามได้โดยง่าย

........................

เราลืมตาขึ้น สัมผัสได้ถึงบรรยากาศตอนเช้าที่คุ้นเคย สายตาพลันทอดเห็นนาฬิกาสี่เหลี่ยมขาวใสที่เรืองแสงได้ เลขตัวใหญ่บอกว่าตอนนี้แปดโมง

เราลุกขึ้น หยุดเลือกเสื้อผ้าหน้าตู้ แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปด้วยอาการที่ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ แทนที่จะอาบเร็วๆเหมือนอยากให้เสร็จเร็วๆอย่างเคย กลับพิถีพิถันกับรายละเอียดมากมายที่ไม่เคยสนใจ จนน่าคิดได้ว่า วันนี้พายุลูกเห็บอาจจะถล่มเมืองฟ้ากรุงเทพก็เป็นได้

นาฬิกาลูกบาศก์น่ารักเรือนเดิมที่ต้องแสงแดดสดใสบอกเวลาเก้าโมง เราแขวนตากผ้าเช็ดตัวไว้กับราวเดิม โยนชุดนอนลงตะกร้าผ้ามุมข้างตู้ แล้วคว้าหวีกับแว่นตาเดินไปหน้ากระจกบานยาว

จนกระทั่งนาฬิกาข้อมือส่งเสียงเตือนบอกเวลาสิบโมงตรงนั่นแหละ ถึงได้มาอยู่ที่ป้ายรถเมล์ และโดยที่ไม่ต้องรอนานนัก รถเมล์ไม่ปรับอากาศก็วิ่งมา เรากระโดดขึ้นบันไดสามสี่ขั้นขึ้นไปหาที่นั่งใกล้ๆนั้นด้วยความเคยชิน ก่อนจะปล่อยความคิดไปกับทิวทัศน์ที่เลยผ่านไปเมื่อรถออกวิ่ง

สิบโมงสี่สิบ สายไปสิบนาทีอีกแล้ว เราวิ่งวนอย่างรีบเร่งไปตามชั้นหนึ่งภายในห้างใหญ่ที่คนพลุกพล่าน ก่อนจะผ่อนฝีเท้าลงพักเหนื่อยหน้าร้านหนังสือ

ถ้านัดกันที่ร้านหนังสือ ก็เป็นที่ซึ่งเราจะหาเพื่อนรักที่โทรตามมาก่อนได้ง่ายๆ เราเดินอ้อมชั้นหนังสือหลายชั้น เหลือบมองดูความเคลื่อนไหวที่สนองตลาดนิยายวัยรุ่นส่วนมากหน่อยนึง ก่อนจะหยุดลงข้างๆเด็กสาวที่ก้มหน้าก้มตาอ่านนิยายสืบสวนเล่มใหญ่อยู่นิ่งๆ

"อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่!"

น้ำเสียงที่เหมือนทั้งตกใจและประหลาดใจแบบนี้เราได้ยินจนชิน จนหลังๆ เราคิดว่าคงพูดจนชินกลายเป็นนิสัยไปแล้ว
เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู บ่นต่อว่า

"สายไปสิบห้านาที"

เราตอบอะไรไม่ได้ นอกเสียจากยอมรับผิดแล้วเปลี่ยนเรื่อง

"จะไปกันเลยรึเปล่า?"

"อืม" เธอตอบรับเพียงในคอ พลางค่อยๆวางหนังสือคืนลงบนชั้นอย่างเบามือ

เราสองคนเดินออกจากร้านหนังสือ แล้วก็ขึ้นลิฟต์ไปบนชั้นต่างๆ เพื่อหาที่เงียบๆ สงบๆ นั่งกัน
วนจนทั่ว สุดท้ายก็เลือกร้านที่ชั้นแรก ไม่ไกลจากร้านหนังสือนั่นแหละ

"คิดออกรึยังน่ะ ว่าจะพูดเรื่องอะไร" เธอยิงคำถามใส่ พลางเติมน้ำตาลลงในกาแฟ พร้อมๆกับที่เรานั่งจิบโกโก้ร้อน

เราถอนหายใจเบาๆ เรื่องนี้เราคิดแล้วคิดอีก วนเวียนอยู่ในหัวตั้งหลายวัน สุดท้ายก็อดหนักใจไม่ได้ เราพยายามคุมความคิดให้เป็นปกติที่สุด พูดออกมาเรียบๆเท่าที่จะทำได้

"ที่จริง...." เราหยุด หายใจเข้าออกลึกๆเพื่อควบคุมตัวเอง เรารู้ว่าเธอเห็นอาการผิดปกตินั่น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"เราชอบโมโมะ"

เราเห็นแววแปลกประหลาดฉาบไปทั่วใบหน้าเธอ เป็นยิ่งกว่าคำว่าแปลกใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงขนาดตะลึง

เราก้มหน้าลงจิบโกโก้ ช้าๆ พร้อมกับที่เธอจิบกาแฟด้วยอาการใกล้เคียงกัน ความเงียบที่เราเกรงกลัวปกคลุมไปทั่ว

"ถ้าไม่ได้ชอบอะไรบางอย่างในตัวอีกฝ่าย ก็คงไม่สนิทกันมาได้ตลอดสามปีหรอก" เธอพูดขึ้นก่อน ช้าๆ ชัด แต่เบายิ่ง
เรายิ้มบางๆ คิดในใจว่าถ้ามันเป็นแค่นั้นจริงก็คงดี...

"แต่เผอิญว่า เราชอบทุกอย่างในตัวโมโมะ"

"ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรตรงไหนนิ"

"ถ้างั้น..เราก็คงต้องบอก..." เรารู้สึกได้ว่า แววตาเราฉายความเศร้าชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
"ว่าเรา..รักโมโมะ มากกว่าเพื่อน"

เรารู้สึกเหมือนต้อนเธอให้จนมุม แววตาของเธอฉายชัดถึงประกายอย่างหนึ่ง ที่เรามองแล้วเหมือนกำลังถูกถามว่า เราต้องการอะไรกัน...

ความเงียบที่น่ากลัวเข้าปกคลุมอีกครั้ง คราวนี้เนิ่นนาน ราวกับว่าตัวตนของแต่ละคนที่ถูกชักเข้าไปติดอยู่ในความคิดของตัวเอง จะไม่ออกมาทำลายความเงียบนี้จนชั่วนิรันดร์
ใจเราท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกผิด มันแน่นหนักราวกับจะกดทับเราให้ตาย

เราละเลียดโกโก้ในแก้วให้หมด พร้อมกับเธอเช่นกัน แล้วค่อยจ่ายเงิน เดินออกจากร้าน ออกจากห้าง ข้ามสะพานลอยไปรอรถเมล์ที่ป้ายฝั่งตรงข้ามด้วยกัน ภายใต้ความเงียบ คำพูดที่เคยไหลลื่นอย่างปกติ กลับแปรเปลี่ยนเป็นความตะขิดตะขวงใจที่จะพูดออกมาอย่างแปลกประหลาด

"แล้วเจอกันนะ" เราพูดออกมาได้แต่คำนี้ ตอนที่เธอขึ้นรถเมล์ไป

........................

'สวัสดี'
เราทักเข้าไปตามปกติเมื่อเห็นเธอโผล่เข้ามาในเอ็มเอสเอ็น เมซเซนเจอร์ แล้วข้อความสวัสดีต่างสีอีกอันก็โผล่ตอบเราขึ้นมา
แต่จากนั้น เราก็นิ่งงัน ไม่รู้จะโต้ตอบอะไรไปดี

แต่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่เธอเป็นผู้ทำลายความเงียบนั้น แม้จะด้วยประโยคที่สั้นและยังให้ความรู้สึกแปลกแปร่งหลงเหลือ

'เราต้องขอโทษยุเรื่องเมื่อวันก่อน คือเราไม่รู้จะพูดอะไรดี นึกไม่ถึงว่ายุจะคิดถึงเราแบบนั้น หัวมันมึนไปหมด'

'อือ' เราตอบกลับไป
'เป็นความผิดเราด้วยแหละ ที่พูดจนโมโมะเหมือนถูกบีบจนมุม เหมือนเราคาดคั้นโมโมะมากเกินไป'

อย่างน้อย พอได้คุยกันยาวๆ อะไรบางๆที่ขวางกั้นพวกเราสองคนไว้ก็แตกลง

'เอ้อ แล้วทำไมวันนี้ออนดึกผิดปกติล่ะ ปกติเห็นนอนเร็ว' เราถามอย่างเป็นธรรมชาติขึ้น

'เราอยากคุยกับยุ' สั้นๆ แต่เราค่อนข้างมั่นใจได้เลย ว่าเพียงเท่านี้ กลับมีความหมายมหาศาลสำหรับเธอ

'เรื่องอะไรล่ะ?' เราถามออกไป ทั้งๆที่ก็พอรู้อยู่ในใจ

'เรื่องแรกก็ขอโทษนั่นแหละ' เราเริ่มเห็นภาพของเธอที่เราเคยชินมาตลอด
'ส่วนอีกเรื่อง เราเข้าใจว่ายุอยากได้คำตอบ'

'อือ' เราตอบรับ

'เราเดาไม่ออกว่าพอตอบไปแล้วยุจะทำหน้ายังไง แต่นี่คือสิ่งที่เรารู้สึก
เราคงเป็นอะไรกับยุมากกว่าเพื่อนสนิทที่สุดไม่ได้"

'อือ เราเข้าใจ' เราตอบด้วยความรู้สึกจริงๆของตัวเอง แม้จะแปลกใจ
'เรารู้ว่าโมโมะเป็นคนปกติ ไม่เหมือนเรา แต่แค่ได้บอกเราก็สบายใจขึ้นเยอะแล้วล่ะ ห่วงก็แต่โมโมะนั่นแหละ บอกแล้วคงไม่พาลกลัวเราไปหรอกนะ'

'เออ ไม่กลัวหรอก ก็แค่แปลกขึ้นกว่าเดิมอีกไม่เท่าไหร่ เรารับได้' เรายิ้มกว้างอยู่คนเดียว แบบนี้สิ ถึงเป็นเธอที่เรารู้จักจริง และคนนี้แหละที่เราชอบ แคร์คนอื่น แต่ไม่ลืมแคร์ตัวเอง ถ้าคำตอบอะไรไม่ใช่แบบนี้ เราคงไม่เป็นสุขอย่างนี้ แต่กระนั้นเราก็ไม่แน่ใจ ว่าสักวันสุขที่ได้เห็นเพื่อนเป็นเพื่อนคนปกติอย่างที่เราชอบ วันนี้จะเหมือนถูกช่วงชิงไปรึเปล่า...

เพราะไม่ว่ายังไงแล้ว ...เราก็รักเธอยิ่งกว่าเพื่อนอยู่ดี...

........................

บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจตัวเองเป็นอย่างมาก ทั้งที่ก่อนหน้าจะได้พูดออกไป กลับกลัว คิดโน่นนี่นั่น เจ็บปวดทั้งกับการคาดเดาของตัวเองและพันธนาการอะไรมากมายที่คิดสรรค์ไปเอง เรากังวลจนฝันเห็นตัวเองร้องไห้ซะด้วยซ้ำ

คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็แปลก ทั้งๆที่ผลออกมาเหมือนกัน แทนที่เราจะเป็นจะตายเอาให้ได้เหมือนในฝันหรือที่กังวลไว้ กลับดีใจ มีความสุขอยู่ลึกๆซะอย่างนั้น

แต่มันก็ดี... อย่างน้อยก็เป็นการดีสำหรับทั้งเรา และ เธอ

วันพฤหัสบดี, กันยายน 28, 2549

..รัตติ..

...จันทราเอย.. ข้าเฝ้ามองเจ้าสาดส่องแสงจากฟากฟ้า...
...จันทราเอย.. ข้ามิเข้าใจ.. ผู้คนต่างชื่นชมเจ้า ..เจ้า.. ผู้เป็นดังประทีปกลางราตรีกาล..
...จันทราเอย.. ทั้งๆที่หากไร้ซึ่งความมืดแห่งรัตติกาล เจ้าก็มิอาจฉาดฉายแสงให้เห็นได้..
... แต่ทำไมกัน.. เขาจึงชื่นชมเจ้า.. แต่กลับเคียดแค้นชิงชังความมืดนั้น....

นิทราเถิด.. ผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งข้า.. ข้าจะคอยอยู่เคียงข้าง...
..แม้ในยามหลับไหล ข้าก็จะปกป้องเจ้า...
..หากวันใดเจ้าเกรงกลัวซึ่งความืด ข้าจักเสกสรรแสงสว่างเพื่อเจ้า...
..แต่หากเจ้าปรารถนาจะหลับไหลท่ามกลางความมืดอันเป็นธาตุของเจ้าและข้า ก็ขอจงนิทราให้สบายภายในม่านอนธนกาลนี้เถิด...
.. แม้ในยามจิตเจ้าล่องลอยไปภายในความฝัน ข้าผู้นี้ก็จะยังอยู่เคียงข้างเจ้า.. ข้า.. ผู้ที่เขาเคยเรียกขานกันว่า ราชันย์แห่งอันธกาล ..

วันอาทิตย์, กันยายน 17, 2549

...ผืนเพลิง... -บทที่ห้า เริ่มชีวิต

"ยังดีที่ได้อยู่กับเจ้า" ว่าพลางทิ้งตัวลงเหยียดยาวบนเตียงใหญ่ในห้องกว้าง "จะว่าไปหอที่นี่ก็ไม่เลวแฮะ"

"ซาเร" เสียงทรงอำนาจเอ่ยเรียกขึ้น "ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า"

เด็กสาวลุกขึ้นนั่ง จับจ้องเนตรสมุทรสีแซฟไฟร์ที่มองมา

"ค่าเล่าเรียนที่นี่สูง ข้าจะพยายามให้ได้ทุนในปลายปี แต่ถ้าหากเซเรเนย์มิอาจได้ทุน ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องไปช่วยทำงาน"

แทนที่จะสนใจว่าต้องไปทำงาน ซาเรกับหัวเราะออกมา

"เมนิ นี่เจ้าจะมาเรียนหนังสือแทนค้นหาความทรงจำให้เซเรแล้วรึ"

ดวงหน้างามดังรูปสลักยังคงนิ่งไร้อารมณ์เช่นเดิม

...เซเรชื่นชอบนัก น่าแกล้งเล่นเหลือเกิน....

.........

เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เมนิอาร์เดินออกไปเปิด เชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนเข้ามาภายในโดยไร้สุ้มเสียงถ้อยคำ

เด็กสาวสองคน เกศาแดงดังเพลิง หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ นั่งลงบนเก้าอี้ยาวไม่ห่างจากตัวซาเรและเมนิอาร์ที่มานั่งข้างๆด้วยนัก

"เจ้าสองคนคงเป็นฝาแฝดกันสินะ?" เจ้าของบ้านยิงคำถามขึ้นก่อน "เหมือนกันอย่างกับแกะ เว้นแต่ตา"

"ใช่แล้ว" คนที่ตาสีม่วงรับ "ข้ากวาดิเอส และนี่เมดิอัส" ว่าพลางภายมือไปยังแฝดอีกคนผู้มีตาสีเขียว

"ข้าซาเร ข้างๆนี่เมนิอาร์ แล้วก็ ...เอ่อ.... ร่างนี่.. ข้า..อีกคน.... ชื่อเซเรเนย์" ผู้อยู่ในร่างเซเรเนย์เอ่ยอย่างไม่ชิน ก่อนจะพยายามเปลี่ยนไปเรื่องอื่น

"พวกเจ้าอยู่ห้องข้างๆนี่รึ?"

ผู้มีเนตรสีม่วงอเมทิสต์พยักศรีษะรับ เสริมขึ้นอีก "และเรียนอยู่ห้องเดียวกับพวกเจ้าสองคนด้วย"

"จริงรึ?" ดวงตาสีดำเริ่มแวววับ คนพูดมากเริ่มสนใจ

"อื้อ"

สิ้นคำนั้น ผู้ตั้งใจฟังยิ่งก็กระโดดเข้าเกาะเพื่อนใหม่ทันที

...ผืนโลหิต... -บทที่สี่ ปราการ

"ถ้าผ่านแล้วนี้ก็ต้องอยู่หอแล้วก็ไปเรียนทุกวันใช่ไหมเนี่ย" เสียงบ่นมาแต่ไกล และคงจะเป็นไปตลอดทาง แต่เมนิอาร์ก็ยังคงนิ่งเช่นเดิม ซาเรพอจะสังเกตุได้อยู่บ้างว่า นอกจากเซเรเนย์แล้ว คนๆนี้ก็ไม่ค่อยจะพูดกับใคร แม้แต่กับเธอซึ่งใช้ร่างของคนนั้นก็ตาม

ยังไม่ทันจะเดินออกจากที่นี่ไป กระดานแผ่นเล็กๆก็ถูกแบกมาตั้ง ผู้คนต่างกรูกันเข้าไปล้อมรอบ

"ประกาศผลกันแล้วเรอะ!" น้ำเสียงบ่งว่าตกใจนักก่อนจะรีบวิ่งไปมุงกับเขาด้วยโดยไม่ลืมลากเพื่อนข้างๆไป

.........

"ติด!" เสียงดังโหยหวนมาแต่ไกล ราวกับว่าผู้พูดนั้นเกลียดชังการเข้าเรียนเป็นอย่างยิ่ง

"เจ้าไม่อยากช่วยเซเรเนย์รึ?" วจีที่เอื้อนเอ่ยยังคงทรงอำนาจ หากแต่ดูแล้งไร้อารมณ์ใดๆนัก

ซาเรถอนหายใจช้าๆ "ข้าไม่ชอบกฏระเบียบ.. แต่เอาเถอะ ถ้ามันทำให้เซเรมันกลับเป็นคนปกติได้ ข้าก็จะทน" น้ำเสียงช่วงท้ายอ่อนลง
แม้จะดูเป็นเช่นนี้ แต่คนๆนี้ก็ยังคงห่วงเพื่อน..

บรรยากาศเงียบๆนั้นคงอยู่ได้ไม่นานนัก ยิ่งสำหรับผู้ไม่ชอบการอยู่นิ่งเฉย เด็กสาวคว้าข้อมือของเมนิอาร์ขึ้น ลากเข้าอาคารใหญ่ไป
"ป่ะ ไปมอบตัว"

.........

"เจ้าสองคนอยู่ปราการแห่งปราชญ์"

"ปราชญ์!!!!!!" ซาเรโพล่งขึ้นอย่างไม่เกรงใจใครอีกครั้ง ทำเอาผู้คนรอบข้างหันมามองเป็นตาเดียว แต่ก็หาได้กระเทือนไม่ ยังคงตะโกนออกมาด้วยเสียงเท่าเดิม "คนอย่างข้าจะอยู่ได้เรอะ!!"

เด็กสาวหันมาหาคนข้างๆ ราวกับหวังจะให้ช่วย แต่เมนิอาร์กลับยืนนิ่ง สีหน้าแลแววตาสงบลึกล้ำราวทะเลยามไร้คลื่นลม

"เมนิ.. เจ้าช่วยข้าหน่อยสิ"

ครานี้สตรีนั้นผันพักตรามาน้อยๆ

"วิชาแห่งปราชญ์ หากเจ้าไม่ไหว ก็ให้เซเรเนย์ออกมาเถิด" แม้น้ำเสียงยังคงฟังแล้วเย็นชายิ่งแต่ผู้ฟังกลับยิ้มออกได้

"นั่นสินะ... ที่จริง หากเป็นปราการอื่นก็ใช่ว่าข้าจะอยู่ได้ อาจทำให้เซเรเดือดร้อนซะด้วยซ้ำ" ถ้อยคำนั้นอ่อนลง

...ผืนเพลิง.... -บทที่สาม ทดสอบ

"ลุง โรงเรียนนี้เป็นไงบ้างอะ?" เสียงใสๆของเด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามผู้เฝ้าประตูสู่ลานทดสอบขณะที่ยืนรออยู่ภายนอกอย่างไม่หยุดปาก

"นี่เจ้ามาเข้าโดยไม่รู้อะไรมาก่อนเลยรึ?" สีหน้าบ่งชัดว่าไม่น่าเชื่อ

เธอพยักหน้า
"มีเหตุฉุกเฉินให้ต้องเลือกที่นี่น่ะลุง"

"เหตุฉุกเฉิน?"

"ใช่แล้วลุง เพื่อนหนูที่ความจำเสื่อมเกิดเห็นภาพที่นี่ในฝัน...."

"เจ้าชื่ออะไรนะ?" เขายิงคำถามตัดหน้าขึ้นมา ก่อนที่สาวน้อยนั้นจะได้เล่าอะไรต่อไปอีกมากมาย

"ซาเร" ตอบอย่างลืมตัว ทำเอาผู้เฝ้าประตูต้องหันกลับไปมองรายชื่ออย่างสงสัย

"ไม่ใช่เซเรเนย์รึ?"

"เซเรเนย์เป็นชื่อจริงๆของคนนี้น่ะลุง" ว่าพลางชี้มือเข้าหาร่างตัวเอง ทำเอาลุงเริ่มรู้สึกว่าไอ้เด็กคนนี้มันประหลาดๆอยู่

"ว่าแต่ ตกลงโรงเรียนนี้เป็นไงบ้างอะลุง" วกกลับสู่คำถามเดิม เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

"เป็นโรงเรียนที่ดีที่สุด เก่าแก่ที่สุด เท่าที่โลกนี้มี"

คำตอบสั้นๆ แต่ทำเอาตาโต ยังไม่ทันจะถามอะไรต่อ ก็มีเสียงเหมือนกลองดังมาจากในสนามทดสอบ ลุงยื่นปากกาขนนกให้ซาเร ลงลายมือบนชื่อตัวเอง แล้วก็เปิดประตูให้เข้าไป

"ใหญ่ดีจริง" เธอว่า แต่ยังไม่ทันจะได้ชมอะไรต่อ รอบๆก็มีเสียงดังขึ้นบอกให้ไปถึงประตูอีกฝั่งให้ได้ การทดสอบมีแค่นั้น

ซาเรกระโดดหลบอาวุธและกับดักต่างๆอันเป็นอุปสรรคอย่างรวดเร็ว ไม่มีแม้แต่น้อยที่สามารถจะเฉียดใกล้เด็กสาวนี้ได้ เธอเดินไปถึงประตู แล้วตัดสินใจใช้เท้าถีบเปิด

หลังประตูนั้นมีคนสองคน หนึ่งคือพนักงานที่นั่งอยู่หลังโต๊ะตัวยาว ณ ขอบด้านหนึ่ง และอีกคนคือเมนิอาร์

"เมนิ ห้องนี้อะไรน่ะ?" เธอเอ่ยถามขึ้นก่อนเลย แต่คนที่ตอบกลับเป็นคนที่นั่งหลังโต๊ะ

"นี่เป็นที่ลงทะเบียนยอมรับคะแนนในการทดสอบ" ได้ฟังแล้วก็หน้ามุ่ย สมัครก็ลงทะเบียน จะสอบก็ต้องเซนต์ชื่อก่อน สอบเสร็จยังต้องเซนต์ชื่อยอมรับคะแนนที่ไม่รู้ว่าจะได้เข้าเรียนที่นี่รึเปล่าอีก

แต่แม้จะไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ซาเรก็ยอมรับปากกามาเซต์ชื่อแล้วเดินออกไปพร้อมๆกับเมนิอาร์

...ผืนเพลิง... -บทที่สอง เปลี่ยนมือ

"เมนิอาร์ ริเดส และ เซเรเนย์ ผู้สาบสูญในความทรงจำ" สตรีร่างสูงงดงาม ดวงหน้าคมราวรูปสลัก เนตรสีน้ำเงินเข้มงดงามราวเพชรสีฟ้า ลึกล้ำดังสมุทรธารา และเกศาสีอ่อนกว่าเพียงนิดเดียว เอ่ยลงทะเบียนด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจในตัว ก่อนจะเดินกลับไปหาเด็กสาวที่นั่งรออยู่ใต้เงาไม้

"ยังไหวใช่รึไม่?" กล่าวถามอย่างเป็นห่วง ก่อนจะนั่งลงข้างๆเมื่อได้คำตอบรับ และอีกฝ่ายเอ่ยถาม

"ลงทะเบียนนั่น เจ้าลงไปเพื่ออะไรหรือ?"

"สมัครเข้าโรงเรียน" คำตอบสั้นๆ เช่นเคย แต่ทำเอาผู้ฟังแปลกใจ

"เจ้าจะเข้าโรงเรียนหรือ?"

"หากมันทำให้เจ้าได้ความทรงจำคืนมา"

"แต่เวลาที่เจ้าจะต้องเสียไป..."

เนตรแห่งห้วงสมุทรหันมาสบเข้ากับนัยน์นิล ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มบางขึ้นช้าๆ

".....เวลาข้า ที่ผ่านมาล้วนแต่ช่วงใช้อย่างสูญเปล่า..... บัดนี้ ขอให้ได้ช่วยเจ้าบ้าง"

.........

"ให้ซาเรออกมาเถิด" เมนิอาร์กระซิบเบาๆกับเพื่อนผู้เหนื่อยอ่อนอยู่เคียงข้าง "อย่าฝืนตัวเอง"

"แล้วการทดสอบอะไรนั่นเล่า?"

"ข้าจะดูแลเอง"

เนตรสีนิลมองเพื่อนรักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจ ปิดตาลง..


ร่างที่หอบอย่างเหนื่อยล้าค่อยๆหายใจช้าลง จนกลับสู่ภาวะปกติ เด็กสาวลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นอีกคนหนึ่ง

"เมนิ เดี๋ยวข้าต้องเข้าทดสอบแทนเซเรใช่รึไม่?"

เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั้นเพียงแต่พยักหน้า มิเอื้นเอ่ยวจีใด แววแปลกๆก็ปรากฏขึ้นในเนตรนิล

...ผืนเพลิง... -บทที่หนึ่ง เริ่มสู่ลำนำ

.........
ข้ามีนามว่าเซเรเนย์ มิมีสกุล แต่ด้วยความที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเป็นใคร มาแต่หนไหน และมิมีผู้ใดเคยรู้จัก ข้าจึงได้มีฉายาต่อท้าย กลายเป็น 'เซเรเนย์ ผู้สาบสูญในความทรงจำ'
.........

"ตื่นสิโว้ย!!!!!!!!!"
เสียงตะโกนกึกก้องดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจใครในยามเช้า

ที่มานั้นคือร่างโปร่งแสงที่กำลังพยายามปลุก'ร่าง'ของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะพยายามทุกวิธีเท่าที่'วิญญาณ'จะกระทำได้แล้ว แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด จนกระทั่งหมดแรง ตัดใจนั่งลงคอยอยู่ข้างๆ

ไม่นานนัก นัยน์สีดำงามดุจนิลของ 'ร่าง'ที่ว่านั้นก็ลืมขึ้น หันมามองวิญญาณที่พุ่งเข้าใส่ทันที

เด็กสาวกระพริบตาอีกสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง พลางสางและมัดผมดกดำที่ยุ่งเหยิง ณ ที่แห่งนั้น แสงทองแห่งทิวาวารกำลังเริ่มฉาดฉาย เข้าสู่วันใหม่....

เธอหันกลับมาในห้องกว้าง สบสายตานิ่งเย็น ลึกล้ำดังห้วงสมุทรลึกของสตรีหนึ่งผู้สง่างามน่าเกรงขามยิ่ง ฉับพลันสีหน้าสงบกลับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง

"อรุณสวัสดิ์ ซาเร" เสียงทรงอำนาจเอ่ยทักก่อนสาวน้อยนั้นจะได้พูดอะไรออกมา "ออกมาแต่เช้า คิดจะยึดร่างของเซเรเนย์ไปทั้งวันอีกแล้วหรือ?"

รอยยิ้มที่เคยกว้างหุบลง เหลือแต่เพียงเสียงหัวเราะแหะๆ แล้วฉับพลันก็กลายเป็นเด็กสาวผู้มีใบหน้าสงบนิ่งตามเดิม

"เมนิอาร์" เธอเอ่ยนามฝ่ายตรงข้ามเบาๆ "อรุณสวัสดิ์"

"เรื่องใดฤๅ ที่เจ้าประสงค์จะคุยกับข้า?" ผู้ครองนาม'เมนิอาร์'ถามขึ้นตรงๆในทันใด

"ความทรงจำ.." ปลายเสียงแปร่งเล็กน้อย บ่งชัดว่ามิใช่เรื่องที่จะพูดออกมาได้โดยง่ายนัก "ความทรงจำข้า.. ข้าคิดว่ามัน.. เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งหนึ่ง"

"ที่แห่งใดกัน มีลักษณะเป็นเช่นไร?"

"หอคอย.... สูง.... กว้าง..... ไม่ไกลจากเมือง..." ลำเสียงขาดช่วงบ้างเป็นห้วงๆ "ข้าเห็นในฝัน... ซ้อนทับกับทุ่งสงคราม... ลักษณะเหมือนโรงเรียน..."

"......... เรวาซ... น่าจะใช่ที่แห่งนั้น" เอ่ยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้น สบเนตรสีแซฟไฟร์เข้ากับนัยน์นิลของผู้อยู่ตรงหน้า

"ไปกัน"

วันเสาร์, กันยายน 16, 2549

...ผืนเพลิง... -บทนำ

...ผืนเพลิง...


ทิวทัศน์เบื้องหน้าเธอนั้น คือทุ่งแห่งสงครามอันอาบโลหิตไปจนแดงฉานสุดปลายสายเนตรจะทอดเห็น

ที่แห่งนี้ไม่มีศพนักรบใด เหลือแต่เพียงศาสตรา ซึ่งผู้ล่วงลับทั้งหลายยังคงทิ้งไว้ ดุจเป็นป้ายวิญญาณให้แก่เขา เมื่อล่องลอย รางเลือนจากโลกนี้ไป

เซเรเนย์ทรงกายลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า หยาดโลหิตไหลเป็นทางจากไหล่ซ้าย หยดลงชโลมแผ่นดิน ณ ปลายนิ้ว เกศาสีนิลปลิวไสวไปกับวาโยยะเยือกเย็นผู้เยี่ยมเยือน ผิวกายซีดเผือดคล้ายดังว่าสายใยแห่งชีวินทร์ได้ถูกช่วงชิงออกไปจนสิ้น นัยน์ดำขุ่นมัวไร้แววแลอารมณ์ใดๆ

.........

"ตื่นเสีย!" วจีสั้นกระชับทรงอำนาจยิ่ง กึกก้องกังวานราวสิงหนาท ปะทุขึ้น
"ฤๅไม่ ก็ดับลมหายใจตนเองไปเสีย!"

ถ้อยนั้นแปลกแปร่ง ห้วนแล้งไร้ไมตรียิ่ง เป็นดั่งโองการ ประกาศิตแห่งจอมราชัน

เนตรขุ่นมัวค่อยเบิกขึ้นทีละช้า นิลนัยน์ด้านยิ่ง ไร้ชีวิต ไร้จิตใจ.. และราวว่าไร้วิญญาณ์...

ร่างสูงหนึ่ง ผินพักตรามา ดวงหน้านั้นงดงามยิ่งประดุจดั่งรูปสลักแห่งเทพี นัยนาน้ำเงินเข้มและลึกล้ำเปรียบดังห้วงมหรรณพ ทอดมองผู้เพิ่งฟื้นคืนขึ้นจากห้วงนิทรากาล

"เพียงลืมตาขึ้น เจ้าหาได้ตื่นไม่!" เธอเอื้อนเอ่ยขึ้นอีกครา
"จงเห็นความหวังสะท้อนอยู่ในคลองจักษุ จงให้ชีวินทร์เจ้าตื่นขึ้นสู่แสงสว่างเถิด"

ปลายเสียงนั้นอ่อนโยนแผ่วเบาลง นุ่มนวล ทอดยาวอย่างให้ความหวัง แต่เมื่อผู้อยู่ในลักษณาการราวไร้ชีวิตยังคงนิ่งเฉย หัตถ์เรียวสวยก็ถูกยื่นให้ ฉุดร่างซีดเซียวให้สัมผัสซึ่งแสงรุจีแห่งทิวากาล

..................

วันศุกร์, สิงหาคม 04, 2549

[กลอน] อันเกี่ยวใกล้เศร้า

เพียงความเศร้าเราก็หยุดยั้งมันได้
เรื่องแค่นี้มันมิตายมิใช่หรือ
แล้วจะบ้าไปกันทำไมฤๅ
หรือจะบอกว่าไม่อาจทำใจได้

[กลอน] ณ ฤทัย

ดังประสงค์อยากก้าวไปดังใจหวัง
ดั่งห้วงลึกในภวังค์นั้นใฝ่หา
ดังตัวข้านั้นไร้ซึ่งศรัทธา
ไร้สิ่งมายึดเหนี่ยวให้คงทน

วันศุกร์, มิถุนายน 09, 2549

[Plot] ตัวตนที่สูญหาย - The lost self.

 แนว: คงจะ... ไม่รู้สิ สังกัดไม่ถูก
 ความยาว: จะเรื่องสั้นหรือเรื่องยาวก็ได้ทั้งนั้น

นานแล้วละ ตั้งแต่Intensive วันท้ายๆ (ก็ประมาณปลายๆเมษา)  วาบขึ้นมาตอนอยู่บนสะพานลอย กลับบ้าน

เรื่องนี้คงหวังจะให้สื่อถึงว่าคนเรามีหลายด้าน นอกจากตัวตนที่เราคิดว่าเราเป็นจริงๆแล้ว ถ้าไปอยู่ในสภาพที่พลิกผัน บางทีอาจเกิดตัวตนอีกด้าน
แต่มันก็ไม่แน่เสมอไป...

เรื่องนี้ เกี่ยวกับนักฆ่า (Assassin)ที่มือถือมีดสั้น เป็นนักฆ่ามาตลอดชีวิต  จู่ๆก็มาอยู่ในโลกของเรา สังคมที่ทำให้พกมีด เดินไปไหนมาไหน ใช้ชีวิตเหมือนอย่างเคยไม่ได้  ตัวตนที่เป็นนักฆ่า อาจจะเป็นอย่างอื่นไป

แต่ก็ไม่แน่นะ เพราะคนเรายังไงก็มีฐานนิสัยอยู่ สันดานนี่มันไม่ใช่เปลี่ยนกันได้ง่ายๆ

เรานี่มัน.........

 ไปอ่านเจอกระทู้นี้เข้า [จิ้มซะ] เลยเพิ่งรู้สึกตัวเอง  ที่เราเขียน วางโครง คิด  ทุกอย่างมันเพื่อสนองตัวเราเองทั้งนั้นเลย

เราอาจไม่ได้เขียนนิยายที่มันรุนแรง เหมือนอย่างที่ท่านๆทั้งหลายเขายกตัวอย่างมา (เช่น ความแตกแยกของครอบครัว เป็นต้น)
แต่ความคิดเรา ไม่มีเรื่องไหนที่คนในเรื่องปกติธรรมดาเหมือนคนธรรมดาๆเลย

อาจไม่แตกต่างจากคนทั่วไปมากในบางพลอต (เช่นที่วางไว้ให้นางเอกบ่นเรื่องของ 'ดอกฟ้ากับหมาวัด' และ 'วัตถุนิยม - วัดค่าคนด้วยสิ่งของ') แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นประเภทที่พบเดินสวนผ่านกันไปมาอยู่ในทุกวันของชีวิต

ถ้าไม่ต่างจากคนอื่น ตัวเอกในเรื่องก็ต้องมีความทุกข์
ไม่มีไหนเลย ที่เป็นเรื่องของคนธรรมดาสามัญทั่วไป...

ไอความทุกข์นี่เห็นได้ชัด ว่าเขียนเพื่อสนองตัวเอง
ตัวเองทุกข์นิดๆหน่อยๆ รับไม่ค่อยได้ ยังจะไประบายให้คนอื่นต้องทุกข์อีก

ตูนี่มันช่างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ฟระ!!!!!!!!!!!!!!!!!!

วันอาทิตย์, มิถุนายน 04, 2549

ขอซักหน่อย

.....
 ริมฝีปากบางนั้นเหยียดขึ้นเป็นรอยยิ้มแสยะอย่างช้าๆ
ดวงหน้าอันเคยหวานใสดูนุ่มนวลอ่อนโยน แปรเปลี่ยนกลับด้านในทันใด
แววตาสีหน้ายะเยือกเย็นราวไร้จิตใจ ท่วงท่าลีลาอย่างผู้กุมอำนาจเหนือกว่า แผ่อำนาจคุกคามอันน่ากลัวยิ่งนัก

เห็นเพียงเท่านั้น ผู้ยืนต่อรองก็รีบหันหลังกลับในทันใด แต่มิทันได้สาวเท้าหนี เสียงเยียบเย็นก็ดังกรีดผ่านหู

"จำเป็นด้วยหรือ..? ที่ข้าจักต้องมีแต่ด้านดี ในเมื่อโลกทำให้ข้าเป็นเช่นนี้"

วันศุกร์, พฤษภาคม 19, 2549

เขียนเพื่อระบาย... [Rare Item!] [Incompleted]

 หญิงสาวหนึ่งเดินทอดน่องไปตามหาดทรายขาวสะอาดไร้ผู้คน
ย่างก้าวไปเรื่อยๆโดยมิมีจุดหมาย

เสียงคลื่นซัดสาดสะท้อนเป็นจังหวะ เคล้าคลอคู่เสียงลมที่พัดอึงอล

เบื้องบนนั้นผืนฟ้าเป็นสีหม่น เมฆฝนเกาะกลุ่มอยู่ครึ้มๆ อีกมินานคงแปรเป็นหยาดนทีหลั่งรินลงมา

ท่ามกลางลักษณะดังพายุจะเข้า เธอยังคงเดินต่อไป
เรื่อยๆ เรื่อยๆ จนสะดุดตาเข้า ณ โขดหินหนึ่ง

มีชายหนุ่มนั่งอยู่บนนั้น สายตาทอดไปยาวไกลไร้จุดหมาย
นิ่งงันดุจปล่อยความคิดให้โบยบินไป  จิตใจมิได้อยู่กับตัวเอง

หญิงสาวรู้ได้ ชายนั้นคงมีเรื่องทุกข์ มิแตกต่างจากเธอ
..จึงปีนขึ้นไป นั่งบนหินนั้นเช่นเดียวกัน

นัยน์สองคู่ทอดไปในทิศทางเดียว
ฤทัยสองดวงอันมีเรื่องทุกข์เศร้า
สองคนผู้ปรารถนาคนเข้าใจ
ฉากหนึ่งในอารมณ์เศร้าของมนุษย์...

กาลเวลาไหลผ่านไปท่ามกลางความเงียบงัน
กระทั่งชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ด้วยทีท่าดุจจะถามซึ่งแผ่นฟ้า

"เป็นอะไรไปหรือ...?"

เสียงลมคำรามอย่างปั่นป่วน ดั่งจะตอบกลายๆว่าแม้กระทั่งตนก็มิรู้เช่นกัน

ความเงียบโรยตัวลงครอบคลุมอีกครา ก่อนหญิงสาวจะเอ่ยคำคล้ายคลึงกัน
สะท้อนกังวานไปทั่วแผ่นน้ำ
ดวงตาสองคู่หรุบลงดังจะหวนคำนึงถึงอดีตอีกครั้งหนึ่ง..

...
เสียงแห่งดนตรีก้องไปทั่วอากาศ ขับร้องซึ่งทำนองไร้สิ้นถ้อยคำ
บางคราโหยหวนกรีดบาดลงในใจ ระบายสิ่งใดที่เก็บกันไว้ออกมา..

ชายหนุ่มหันมองผู้ที่ลงนั่งข้างๆ ใจนั้นจะด้านชารึไม่ก็รับรู้ได้ ความทุกข์สะท้อนเด่นชัดในแววตา

วันจันทร์, พฤษภาคม 08, 2549

[Plot] Reversed World - โลกที่หมุนกลับ

แนว: รัก [น่าจะเขียนง่ายและสื่อความรู้สึกของเรื่องได้ดีที่สุด]
ความยาว: เรื่องยาว [น่าจะเหมาะกว่าเรื่องสั้น]


 เหอๆ พลอตเรื่องรักแบบเพียวๆ เรื่องแรกในชีวิต  ก่อนหน้านี้อย่างน้อยๆก็ต้องปนไซไฟหรือแฟนตาซี

ที่มาของเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก มันผุดขึ้นมาตอนกำลังนั่้งกินก๋วยจั๊บ กินไปก็คิดไปว่า ถ้าหยุดเขียนนิยายเพื่อรอให้อะไรๆมันลงตัวก่อน จะต้องจำให้ดีว่าเราเป็นนักเขียนนะ ห้ามทิ้งงานเขียนเด็ดขาด ถ้าไม่ทำงี้เดี๋ยวมันจะเตลิดไปไกล ความคิดเรื่องเขียนนิยายหายหมด

ทีนี้ ความคิดที่ว่า 'ถ้าเกิดจู่ๆความเป็นคนๆหนึ่งหายไปหมดจะเป็นยังไง?' ก็ผุดขึ้นมา
คิดไปคิดมาก็ต่อเป็นพลอตเรื่องได้ว่า คนคู่หนึ่งรักกันอยู่ แล้วจู่ๆฝ่ายนึงก็ประสบอุบัติเหตุ ความทรงจำ บุคลิกลักษณะเดิม ทุกอย่างหายไปหมด ยกเว้นแต่จำตัวเองได้ จำคนที่รู้จักได้
อีกคนที่เหลือจะทำยังไง ในเมื่อเหมือนกับคนๆเดิมที่รักตายไปแล้ว เหลือแต่ใครสักคนที่ไม่คุ้นเคยอยู่ในตัวของคนรักเดิม

วันอาทิตย์, พฤษภาคม 07, 2549

[Plot] โลกที่ไร้จิตใจ...

 สืบเนื่องจากความคิดที่เขียนไว้ในบลอคหลัก [link]
ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า น่าจะลองเขียนดูเหมือนกัน


โลกในอนาคต มีเทคโนโลยีเจริญรุ่งเรือง แต่คนไม่มีจิตใจ

โลกที่แก่งแย่งชิงดี ชีวิตเป็นการต่อสู้ สังคมเหมือนสงคราม

โลกที่มนุษย์ มีชีวิตอยู่แต่เพียงเป็นเครื่องจักรสงคราม ดิ้นรนเพื่อผลประโยชน์ตนเองเท่านั้น


แนวเรื่อง: Sci-Fi
ความยาว: เรื่องสั้น  (ถ้าเรื่องยาว สงสัยจะไม่มีอะไรเขียน)